วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

โครงการออมเงิน เวอร์ชั่น 2.1 เราจะได้รับประโยชน์อะไรจากการออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

สุรศักดิ์ อัครอารีสุข : surasak_cpb@yahoo.com
ผู้เขียนมีประสบการณ์และคลุกคลีในงาน ด้านนโยบายและแผนขององค์กร และงานด้านการจัดการองค์กรมามากกว่า 10 ปี และเป็นผู้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการแก่ผู้บริหารโครงการขององค์กร

แอปเปิ้ลมักออกผล หลังจากปลูกแล้ว 8-10 ปี (นิรนาม)

ภาพซ้าย : ผู้เขียน กับการเข้าร่วมรับฟังการประชุมเพื่อชี้แจงในเรื่องของการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในองค์กร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2553 ที่ผ่านมา

ในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา ตัวผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยในเรื่องเกี่ยวข้องกับการออมเงิน ทั้งในฐานะผู้ให้มุมมองในเรื่องนี้แก่เพื่อน ๆ และคนรู้จัก และการหาหนทางหรือวิธีการที่จะทำให้ตนเองมีรูปแบบการออมเงินใหม่ ๆ ขึ้นมาบ้าง

จากเรื่องราวดังกล่าว จึงทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกอยากจะนำประเด็นเรื่องเกี่ยวกับโครงการออมเงิน กลับมาพูดคุยให้แก่ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมในเว็บบล็อกของผู้เขียนได้รับทราบเพิ่มเติมอีกสักครั้งหนึ่ง

ก่อนอื่นก็ขอนำเสนอข่าวสารเล็ก ๆ ขององค์กรที่ผู้เขียนทำงานอยู่ให้ได้รับทราบ ก็คือ ในเร็ว ๆ นี้ องค์กรที่ผู้เขียนทำงานอยู่ จะมีการจัดตั้ง "กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" ขององค์กรขึ้นเป็นครั้งแรก การจัดตั้งกองทุนฯ ขึ้นในครั้งนี้ ก็สืบเนื่องมาจากนโยบายที่ต้องการจะส่งเสริมให้เกิดการออมเงินอย่างจริงจังให้แก่บุคลากรในองค์กร ให้ทุกคนหันมาเอาใจใส่ในเรื่องของการออมเงินกันมากขึ้น

วัตถุประสงค์หลักของการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ อย่างที่เราทราบกันดี คือ เพื่อให้ทุกคนมีเงินออมไว้ใช้จ่ายสำหรับตนเองในยามเกษียณ เพราะหากลำพังตัวเราเอง ใช้การออมเงินกับสถาบันการเงิน เช่น ธนาคาร อาจจะได้รับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการออมในลักษณะนี้ได้อย่างไม่เต็มที่ เพราะต้องพึ่งพานโยบายด้านการเงิน คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดขึ้นจากภาครัฐเป็นหลัก อีกทั้งการออมเงินอย่างเป็นจริงจังกับรูปแบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะทำให้เรามีวินัยในการออมเงินที่สูงขึ้น มีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น รวมถึงวิธีการที่จะนำไปสู่การออมเงินเหล่านั้นเป็นระบบมากขึ้น โดยอาศัย "มืออาชีพ" ที่เป็น บลจ. (บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จำกัด) เข้ามาช่วยบริหารเงินออมของเรา ให้ได้รับผลประโยชน์และงอกเงยมากกว่าการฝากเงินธรรมดา

ผู้เขียนมีมุมมองต่อแนวทางการจัดตั้งกองทุนฯ ดังกล่าว เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ แก่บุคลากรในองค์กรเป็นอย่างยิ่ง ทำให้บุคลากรทุก ๆ คน ต่างมีทางเลือกในการออมเงินที่มากขึ้น และที่สำคัญอาจจะทำให้หลาย ๆ ท่าน พัฒนาแนวคิดเรื่องการออมเงิน จากมุมมองที่ว่ามันเป็น "ทางเลือก" สามารถพัฒนาไปสู่ที่ว่าการออมเงินนั้นเป็นเรื่องของ "ความจำเป็น" มากขึ้น

หลาย ๆ ท่านที่อายุยังน้อย (โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 30 ปี) อาจจะมีมุมมองที่ว่า ณ ขณะนี้ การออมเงินยังไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับตัวเราเอง เพราะเหตุที่คิดว่าตนเองอายุยังน้อย ยังมีเวลาอีกยาวไกลในการทำงาน (คือ อายุงานไม่ต่ำกว่า 25 ปี) ยังมีมุมมองที่รู้สึกว่ามันไกลตัวเหลือเกิน อีกทั้งเงื่อนไขการออมเมื่อเข้าสู่กองทุน อาจจะทำให้ตนเองรู้สึกว่ามันเรื่องที่ "เข้มงวด" คือ ต้องถูกหักจากเงินเดือนเข้ากองทุนทุกเดือน ทำให้ตนเองอาจจะมีเงินไว้ใช้สอย-ใช้จ่าย ไม่เพียงพอในแต่ละเดือน

ผู้เขียนจึงขออนุญาตที่จะนำเสนอ "มุมมองใหม่ ๆ" ให้แก่ท่านผู้อ่านที่อายุยังน้อย ยังมีอายุงานและอายุตัวที่ยาวไกล ได้ลองพิจารณาดูเพื่อมองให้เห็นถึง "เสน่ห์" ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่บางครั้งตัวเราเองอาจจะยังนึกไม่ออก ว่าทำไมเราต้องออมเงิน และการออมเงินกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมันดีอย่างไร และเราจะได้อะไรจากการออมเงินด้วยวิธีการนี้

มุมมองแรก การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเปรียบเหมือน "การลงทุน" เป็นเหมือนแผนการลงทุนในระยะยาวของตัวเรา เพราะโดยปกติเราในฐานะคนทำงานกินเงินเดือน จะไม่มีโอกาสที่จะนำเงินไปลงทุนในแหล่งต่าง ๆ ได้อย่างง่าย ๆ ทั้งด้วยเหตุของการไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ หรือตัวเราเข้าไม่ถึงข้อมูลเหล่านี้ เวลาที่ไม่เอื้ออำนวยให้กับตัวเราได้เข้าไปดูแล หรือทำความเข้าใจข้อมูลที่แม้จะมีอยู่มากมาย แต่ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ทุกคนจะเข้าใจได้เหมือน ๆ กัน

เพราะโดยปกติเราต้องทำงานกินเงินเดือนให้ดีที่สุด การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จึงแทบจะไม่แตกต่างอะไรจากการซื้อหน่วยลงทุนในบรรดาประเภทกองทุนรวมต่าง ๆ ที่มีการประกาศขายกันอยู่ดาษดื่นในตลาดทางการเงิน เพียงแต่ความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำมาก เพราะเจ้าของกองทุนโดยปกติแล้วก็แทบจะไม่อนุญาติให้ "ผู้จัดการกองทุน" ลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว อีกทั้งยังมี "คณะกรรมการบริหารกองทุน" ที่ทำหน้าที่คอยกำกับดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง

มุมมองที่สอง การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เปรียบเหมือนเราได้ "ว่าจ้างมืออาชีพมาดูแลและบริหารเงินออม" ของตัวเรา เพราะหากเราเพียงแค่นำเงินสดที่เราเก็บหอมรอบริบได้ไปฝากไว้ในธนาคาร เราะก็ไม่สามารถนำไปทำอะไรได้อีก ต้องพึ่งพาแต่เพียงดอกเบี้ยที่มาจากการกำหนดของภาครัฐ แต่การออมเงินไว้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จะทำให้เราได้มืออาชีพเข้ามาช่วยดูแล และคอยหาช่องทางในการนำเงินของกองทุนไปหาผลประโยชน์ที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติได้

ซึ่งตามปกติแล้วตัวเราเองไม่สามารถที่จะไปทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่าย ๆ เช่น การซื้อพันธบัตรจากรัฐบาลในวงเงินสูง ๆ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูง การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ปตท. เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการลงทุนในห้นสามัญของบริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ๆ ก็ตาม (ทั้งในส่วนของเงินปันผล หรือส่วนต่างของราคาตลาดของหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์)

มุมมองที่สาม การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทำให้เราได้รับ "สิทธิการลดหย่อนทางภาษีบางประการ" คือ การลดหย่อนภาษีเงินได้จากรายได้ประจำปีของตัวเรา ในปัจจุบันเราจะพบเห็นกองทุนรวมจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่ม RMF LTF ที่มักจะเชิญชวนให้เราเข้าซื้อกองทุนดังกล่าว กองทุนในลักษณะดังกล่าวจริง ๆ แล้ว ก็แทบจะไม่แตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่อย่างใด เป็นเหมือนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่คนที่มิได้ทำงานประจำ ได้มีโอกาสเข้าไปซื้อทั้งเพื่อการออมเงิน เพื่อการลงทุน และเพื่อการนำสิทธิดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีของตัวเราเองได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งสิทธิดังกล่าวก็ไม่แตกต่างจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพแต่อย่างใด

ซึ่งการใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีที่ได้กล่าวไว้นั้น ก็จะต้องเป็นคนที่มีรายได้ต่อปีถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษีก่อน และจึงจะนำจำนวนเงินที่เรานำไปซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาหักลดหย่อน เพื่อขอคืนภาษีกลับมาเป็นเงินสดได้

มุมมองที่สี่ การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทำให้เรา "ได้เปิดโลกทัศน์และโอกาสใหม่ ๆ" โดยเฉพาะในแวดวงของการลงทุน ตามปกติถ้าเราใช้ชีวิตในแวดวงทำงาน คือเช้ามาทำงาน เย็นกลับบ้าน เงินเดือนเข้าก็แบ่งส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม ทำให้เราแทบจะไม่ได้รับรู้ หรือให้ความสนใจในเรื่องของการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ เลย

แต่หากเราได้เริ่มที่จะลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในโลกปัจจุบันบริษัท บลจ. ต่าง ๆ ที่เป็นผู้บริหารกองทุน ก็จะเริ่มสื่อสารข้อมูล หรือข่าวสารต่าง ๆ ในแวดวงเหล่านี้ "เข้าถึง" ตัวเราได้มากขึ้น ไม่ว่าจะในเรื่องของเอกสารที่เป็นตัวสรุปข้อมูลประจำปี ประจำเดือน ที่ได้นำเงินเราไปลงทุนหรือผลประโยชน์ที่เราได้รับ การได้เรียนรู้ข้อมูลข่าวสารในแวดวงเหล่านี้จากเอกสารที่เรียกว่ารายงานประจำปี (Annual Report) หรือแม้กระทั่งการเข้ารับการอบรมหรือการเข้าร่วมรับฟังการเสวนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ จะทำให้เราได้รับรู้ เกิดมุมมองใหม่ ๆ มองเห็นถึงโอกาสที่เราจะเข้าถึง "ตลาดลงทุนหรือรูปแบบการออมเงินใหม่ ๆ" ให้กับตัวเราได้ต่อไปในอนาคต

ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ตัวผู้เขียนเองก็ประสบมาด้วยตนเองเช่นกัน ทำให้เข้าใจแวดวงการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ ในระดับหนึ่งครับ

สุดท้าย ผู้เขียนขอเพิ่มเติมอีกมุมมองหนึ่ง ให้ลองได้พิจารณากันดูครับ คือ

มุมมองที่ห้า การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ "เป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคต" ด้วยตัวของเราเอง

เป็นเหมือนการตอบคำถามที่ว่า "ทำไมเราต้องเข้ามาเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ" เพราะการออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือเป็นการกำหนดอนาคตทางการเงินของตัวเราด้วยตัวของเราเอง ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมาลุ้นหรือคาดเดาว่า หากในอนาคตเมื่อเราเกษียณจากการทำงานประจำแล้ว เราจะมีเงินก้อนไว้เพื่อใช้จ่ายในยามเกษียณหรือไม่ ซึ่งเป็นอนาคตที่เราไม่สามารถคาดเดาได้

แต่การหันมา "ลงทุน" ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นอกจากจะทำให้เราได้ประสบการณ์ในด้านการบริหารเงินออม (การลงทุน) ด้วยตัวของเราเองแล้ว ยังทำให้เราสามารถ "ประมาณการในเรื่องของแผนทางการเงิน" ถึงเงินก้อนที่เราคาดว่าจะได้รับในอนาคตข้างหน้าได้อย่างชัดเจน เป็นตัวเลข และใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดครับ

ที่สำคัญ หากองค์กรของแต่ละท่าน (ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านในบล็อกนี้) มีนโยบายหรือหลักเกณฑ์ที่จะให้เงินก้อนไว้ใช้จ่ายภายหลังเกษียณ ก็ถือได้ว่าคุณจะมีเงินก้อนไว้เพื่อใช้จ่ายกันถึงสองทางทีเดียวครับ

สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราน่าจะเข้าไปศึกษา เรียนรู้ และนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง (คือ เริ่มต้นออมเงินในกองทุน) เป็นอย่างยิ่ง เพราะยิ่งเรามีเงินออมมากเท่าไร ย่อมเป็นหลักประกันให้แก่อนาคตในยามเกษียณของตัวเราเอง เป็นอนาคตที่เรากำหนดเป้าหมายได้ มีทั้งความชัดเจนและจับต้องได้

ขอเพียงแค่เรามีมุมมองหรือทัศนคติที่ถูกต้อง ต่อการออมเงิน (หรือการลงทุน) ในลักษณะดังกล่าว และพยายามที่จะเรียนรู้วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องในการออมเงินหรือการลงทุน มีวินัยในการปฏิบัติตามวิธีการดังกล่าวอย่างแข็งขัน และสามารถอดทนรอคอยได้ (เช่นเดียวกับ "การปลูกไม้ผล")

อนาคตของตัวเรา ก็จะเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การรอคอยมากยิ่งขึ้นครับ