หนังสือ "บูรณาการงานทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะองค์การ หรือ Integrated HR, Strengthening Corporate Competency" เขียนโดย สุรเชษฐ หฤษฎ์ภูมิ. (2556)
เป็นหนึ่งในหนังสือด้าน HR หลาย ๆ เล่ม ที่ผมค่อนข้างชอบมากเลยทีเดียว
ตัวหนังสือนำเสนอให้เห็นถึงภาพรวมของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ
สำหรับใช้เป็นแนวทางแก่นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถนำมาปรับใช้งานได้เป็นอย่างดี
หากเรามองในเรื่องแนวทางการพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา จากหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน
หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories ซึ่งแต่งโดย เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates)
ที่กล่าวว่า สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา เราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย....
คือ ...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..
แนวทางหรือที่มาของหนังสือเล่มนี้ ก็ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ไม่แตกต่างกันนัก
เริ่มต้นจาก ตัวผู้เขียนเองมีความต้องการเพิ่มพูนเทคนิคการบริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
จึงได้ค้นคว้าแนวคิดใหม่ ๆ ในงานด้านนี้อย่างสม่ำเสมอ
ผ่านการปะติดปะต่อความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่มักแยกส่วนออกจากกัน
นำมาผสมผสานกับประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับจากการทำงานด้านการจัดฝึกอบรมของตนเอง
รวมถึงการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้อีกจำนวนมาก
จนสามารถกลั่นกรองและถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือได้อย่างน่าอ่านและน่าติดตาม
ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของตัวผู้เขียนเอง
พบว่า องค์การส่วนใหญ่ถึงจะให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์
แต่ผลงานของหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ ก็มักจะ ไม่โดดเด่นมากนัก ในสายตาของผู้บริหารระดับสูง
ถึงแม้ผู้บริหารที่ดูแลงานด้านทรัพยากรมนุษย์ จะได้รับโอกาสเข้าร่วมประชุมในระดับบอร์ดบริหารขององค์การอย่างสม่ำเสมอ
หรือผู้รับผิดชอบในงานทรัพยากรมนุษย์ มีความพยายามในการการนำ เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่ เข้ามาสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์การ
ไปจนถึง การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ให้แก่บุคลากรขององค์การอย่างต่อเนื่องอยู่ก็ตาม
ผู้เขียนมองว่าจากผลงานดังกล่าวก็อาจจะยังอยู่เพียงแค่ในระดับ ที่พอจะทำให้ผู้บริหารระดับสูง เพียงยอมรับได้ เท่านั้น
แล้วงานด้านทรัพยากรมนุษย์ จะสร้างคุณค่าและความโดดเด่น ในองค์การให้กับตนเองได้อย่างไร
ประเด็นนี้ ผู้เขียนมองว่าคุณค่าและความโดดเด่นดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากผู้เขียนมองว่าเครื่องมือเหล่านี้ เป็นการใช้เพื่อเพิ่มประสิทธภาพการทำงานขององค์การ ให้มากขึ้นเท่านั้น
แต่อยู่ที่ การสร้างและปรับเปลี่ยนทุกระบบอย่างรอบด้าน ให้สอดรับกันแบบบูรณาการ
โดยมี คน เป็นศูนย์กลาง
และให้ใช้ ระบบทรัพยากรมนุษย์ เป็นตัวเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ผู้เขียนเน้นย้ำว่า ก่อนที่จะเชื่อมโยงระบบทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดบูรณาการเข้าด้วยกันนั้น
นักทรัพยากรมนุษย์ ต้องศึกษาทำความเข้าใจต่อรากฐานภารกิจขององค์การ จนเข้าใจอย่างดี
แล้วจึงนำมาใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์เพื่อวางแผนดำเนินการเป็นส่วน ๆ
เนื้อหาของหนังสือมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการ 3 ส่วนงาน คือ การบริหารโครงสร้างเงินเดือน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และงานด้านพนักงานสัมพันธ์ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 6 บท
ตลอดทั้ง 6 บท ผู้เขียนได้นำ กรอบหรือเฟรมเวิร์ก Urich Model ของ Dave Urich มาใช้อธิบายร่วมในลักษณะสอดแทรกไปตามแต่ละบท
เป็นการนำ ทฤษฎีด้านทรัพยากรมนุษย์ มาประยุกต์ใช้กับการทำงานของผู้เขียนเอง
โดยนำเสนอเนื้อหาได้อย่างกระชับและมีทิศทาง
ไม่ว่าในเรื่องของการเสริมบทบาทนักทรัพยากรมนุษย์ในฐานะนักยุทธศาสตร์ด้านคนและการจัดทำแผนปฏิบัติการ
หรือการเชื่อมโยงเครื่องมือและข้อมูลทรัพยากรมนุษย์เข้าด้วยกัน
เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านการจัดการ และประสิทธิผลในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับคน
ให้สอดคล้องกับทิศทางขององค์การแบบบูรณาการ
ไปจนถึง แนวทางการพัฒนาศักยภาพของคนในองค์การให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจขององค์การ
รวมถึงการค้นหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงขององค์การ
พร้อมทั้งนำเสนอเครื่องมือที่ใช้ในการจับสัญญาณเพื่อป้องกันและแก้ไข
โดยล้อไปกับระบบการดำเนินงานทรัพยากรมนุษย์ได้ครบทั้ง 4 บทบาท ตามแนวคิดของ Dave Urich ซึ่งประกอบด้วย
การเป็น Strategic Partner นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องทำความเข้าใจกับธุรกิจขององค์การ ทั้งในเรื่องของวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยมร่วม และกลยุทธ์ธุรกิจ
ตลอดจนมีส่วนร่วมในการกำหนดจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค และโอกาส เพื่อกำหนดแผนกลยุทธ์ธุรกิจในระยะสั้น และระยะยาว
การเป็น Change Agent หรือบทบาทของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ให้สอดรับกับการเคลื่อนตัวของกระแสสังคม เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมปรับตัว
นักบริหารทรัพยกรมนุษย์ จึงต้องมีศาสตร์และศิลป์ ที่จะชี้ให้เห็นผลดี-ผลเสีย โอกาส ที่จะชูธงเดินนำหน้าการเปลี่ยนแปลง
การเป็น Employee Champion นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความรู้ ทักษะ ความสามารถในวิชาชีพของตนเอง เป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมบุคลากรทุกส่วนงาน
โดยเนื้อหายังเป็นการบูรณาการระหว่างงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) กับงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) เพื่อให้เกิดแรงสนับสนุนต่อกัน
การเป็น Administrative Expert คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการบริหารจัดการงานประจำของงานทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิผล
เป็นการสร้างฐานอนาคตขององค์การให้เข้มแข็งที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ผ่านการสนับสนุนการติดตั้งเครื่องมือ ระบบการบริหาร และระบบปฏิบัติการใด ๆ ให้องค์การ
ผู้เขียนได้กล่าวสรุปในตอนท้าย ถึงความพยายามของหนังสือเล่มนี้ ที่มีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงระบบงานทรัพยากรมนุษย์ให้ดำเนินงานเป็นเนื้อเดียวกัน
เสมือนกับการเต้นรำกันอย่างสนุกและต่อเนื่อง
หากในงานเต้นรำที่ทุกคนกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกมีการเปิดเพลง-ปิดเพลงสลับกันไป
คนเต้นก็จะรู้สึกขาดตอนและไม่สนุก
งานทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ควรทำงานให้มีจังหวะและท่วงทำนองที่สอดคล้องกัน
ถึงแม้จะแบ่งแยกหน้าที่งาน แต่ต้องไม่แบ่งแยกความรับผิดชอบ
เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผสมผสานส่งลูก-รับลูกกันอย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การทำงานอย่างมืออาชีพของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ไปยังทุกหน่วยงานในองค์การให้ได้เห็นอย่างชัดเจน
ถือเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากเล่มหนึ่งสำหรับคนทำงานด้าน HR และทุก ๆ ท่านครับ