สุรศักดิ์ อัครอารีสุข : surasak_cpb@yahoo.com
ผู้เขียนมีประสบการณ์และคลุกคลีในงาน ด้านนโยบายและแผนขององค์กร และงานด้านการจัดการองค์กรมามากกว่า 10 ปี และเป็นผู้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการแก่ผู้บริหารโครงการขององค์กร
หนึ่งคือ “การเดินทาง” และสอง-คือ “การอ่านหนังสือ”
ภาพซ้าย : ผู้เขียนได้ปรับพื้นที่ใช้สอยบางส่วนในบ้าน ให้เป็นห้องหนังสือ เพื่อใช้เป็นสถานที่ทบทวนความรู้ของตนเองอยู่เป็นประจำ
คำกล่าวข้างต้น ผู้เขียนได้หยิบยกมาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ผู้เขียนได้อ่านจากงานของ "คุณวงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์" ซึ่งถือเป็นนักเขียนและคนทำหนังสือ ที่ผู้เขียนรู้สึกชื่นชอบมากท่านหนึ่ง ทั้งในแง่ของผลงานและความคิดอ่านของตัวคุณวงศ์ทนงเอง
โดยส่วนตัวผู้เขียนเอง ก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือที่หลากหลายคนหนึ่ง ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ บ้างก็เป็นเรื่องราวในแวดวงการจัดการในองค์กรต่าง ๆ บ้างก็เป็นบทสัมภาษณ์ที่ดี ๆ ของผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ในแวดวงต่าง ๆ ที่ได้นำมาถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนรุ่นหลังเพื่อไม่ต้องไปลองผิดลองถูกอีก บางเรื่องก็เป็นประเด็นที่กำลังกล่าวถึงในสังคม ไปจนถึงข่าวสารบ้านเมืองต่าง ๆ
เมื่อเราอ่านไปได้ระยะหนึ่ง เราก็จะพบว่า "หนังสือ" จะเป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์ที่ให้ทั้งความสุขแก่ตัวเรา ผ่อนคลายความตรึงเครียดในจิตใจ คอยให้คำแนะนำ ข้อเสนอแนะที่ดี ๆ แก่ตัวเราเพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงาน และการอ่านยังสามารถพัฒนามุมมองของตัวเราให้กว้างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อมูลในวงการอื่นที่น่าสนใจจะเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่หลากหลายชิ้นเข้ามาประกอบกันเป็นส่วนหนึ่งในความคิด ให้เราสามารถมองเห็นเป้าหมายหรือภาพรวมในงานของเรา หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมได้อย่างชัดเจน เป็นระบบ และเป็นขั้นตอนมากขึ้น
เคยมีคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา "นายบิล คลินตัน" ที่ว่า หากเราอ่านหนังสือพิมพ์วันละ 6 ฉบับ ต่อเนื่องกันทุกวัน เราจะมีความรู้เท่ากับรัฐมนตรี ผู้เขียนคิดว่าคำกล่าวดังกล่าว ไม่ผิดไปจากความจริงเลย เพราะหนังสือพิมพ์ จะมีเนื้อหาที่หลากหลายมากมาย ทั้งข่าวสั้น ข่าวประจำวัน ข่าวต่างประเทศ บทความจากผู้มีชื่อเสียงในด้านต่าง ๆ ของสังคม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้หากเราอ่านและทำอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะทำให้เราทราบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อย่างถูกต้องแล้ว ยังทำให้เราสามารถ "จับประเด็น" ในการนำเสนอของสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะประเด็นต่าง ๆ เหล่านั้น ต่างได้รับการกรองจากสื่อต่าง ๆ มาแล้วในระดับหนึ่ง
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา ให้อ่านและศึกษาในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวกฎหมายใหม่ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรที่ผู้เขียนทำงานอยู่ ผู้เขียนก็พบคำ ๆ หนึ่ง ที่ฟังดูแล้วก็น่าสนใจดี ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาประยุกต์ปรับใช้ คือคำว่า "การขยายฐานความรู้ให้กว้าง" (ที่จริงแล้วในตัวกฎหมายที่ผู้เขียนอ่านเป็นคำว่า "ขยายฐานภาษีให้กว้าง" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษี และทำให้รัฐมีรายได้ที่มากขึ้น)
การขยายฐานความรู้ให้กว้างในปัจจุบัน นับเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่จำกัดว่าคุณจะทำงานในสายวิชาชีพใด แม้คุณจะเป็นวิศวกร แพทย์ ทนายความ หรือวิชาชีพอื่นใด ผู้เขียนคิดว่าจำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้ในแวดวงอื่น ๆ เข้ามาเป็นฐานความรู้ที่อยู่ในความคิดของตัวเราเพิ่มเติมด้วย
ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ได้กล่าวถึงการเป็นผู้ที่มีฐานความรู้กว้าง จะทำให้เราสามารถที่จะดำเนินการหรือตัดสินใจในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะข้อมูลต่าง ๆ ที่เขามีอยู่ ทำให้เขาสามารถนำมาประมวลความคิดได้อย่างครบถ้วนทุกองค์ประกอบ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดน้อยลงไปอีกระดับหนึ่ง
ฐานความรู้กว้างในที่นี้ มีความเกี่ยวข้องกับตัวผู้บริหารโครงการอย่างไร
เนื่องจากผู้บริหารโครงการในปัจจุบัน ไม่ใช่เพียงแค่จะคอยบริหารงานที่อยู่ในภายในกรอบแนวทางของโครงการที่วางไว้เท่านั้น แต่ยังต้องคอย "บริหารประเด็นหรือสถานการณ์" ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ให้สอดคล้องกับแนวทางที่เราได้วางไว้ ทั้งยังต้องคำนึงถึงประเด็นปัญหาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโครงการได้ รวมไปถึงการพิจารณาจากนโยบายของภาครัฐที่ได้กำหนดขึ้น ว่าเราจะกำหนดโครงการอะไรขึ้นมารองรับในแต่ละปี ซึ่งถือเป็นที่มาในการจัดทำโครงการของหน่วยงานของเราด้วยเช่นกัน
การมีฐานความรู้ที่กว้าง จะทำให้ผู้ที่ทำงานในด้านการบริหารโครงการ มีพื้นฐานในการพิจารณาข้อมูลด้านต่าง ๆ ที่มากขึ้น เป็นแนวทางใช้ประกอบการตัดสินใจของผู้บริหารโครงการได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งทำให้ทราบถึงหรือพัฒนาให้เกิดแนวทางปฏิบัติใหม่ ๆ ที่จะสามารถนำมาปรับใช้ในการบริหารโครงการได้มากขึ้น
ลักษณะเช่นนี้จะคล้าย ๆ กับการทำงานในรูปแบบที่เรียกว่า Adaptive Work คือ มิใช่เป็นวิธีการทำงานที่ปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมา แต่เป็นการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ แล้วตัวเราได้รวบรวมประเด็นเหล่านั้นมาปรับ ประยุกต์ใช้งาน รวบรวมเป็นแนวทางหรือเป็นคู่มือการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นแนวทางแก่ผู้ที่เข้ามาสานงานต่อไป (ผู้ที่เข้ามารับช่วงบริหารโครงการต่อจากเรา) ทำให้ไม่ต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
ซึ่งการอ่านหนังสือที่มาจากผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ไม่จำกัดว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการในด้านใด ถือได้ว่าเป็นแนวทางหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ในการพัฒนางานทั้งในส่วนของงานปกติประจำวันหรืองานด้านการบริหารโครงการได้อีกทางหนึ่ง
และการที่องค์กรของเรา ได้ทำให้เกิดคู่มือการปฏิบัติงานขึ้นมาได้นั้น ก็เป็นเหมือนการทำ Knowledge Sharing ในเรื่องของการจัดการความรู้ภายในองค์กรได้อีกทางหนึ่งด้วย
สุดท้ายสำหรับผู้ที่ได้เข้ามาอ่านในบล็อกนี้ ไม่ว่าจะยังเป็นนักเรียนหรือผู้ที่ทำงานแล้ว ผู้เขียนอยากจะขอเสนอแนะให้ทุก ๆ ท่าน ได้หันมาอ่านหนังสือกันให้มาก ๆ อ่านให้หลากหลาย อ่านหลาย ๆ รอบในเรื่องที่เราสนใจ หากสามารถนำมาลงมือปฏิบัติได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งสำหรับตัวเรา และในองค์กรที่เราทำงานอยู่
เพราะหากเราลองคำนวณดูคร่าว ๆ เพียงแค่เรากันเงินส่วนตัว ที่เราเคยใช้จ่ายเรื่องที่ไม่จำเป็นมากนักซักเดือนละ 200.- บาท หาซื้อหนังสือที่เราสนใจมาอ่านเดือนละหนึ่งเล่ม ผ่านไปเพียงหนึ่งปี เราก็จะได้ความรู้จากเรื่องราวต่าง ๆ จากผู้เขียนถึง 12 ท่านเลยทีเดียว
และที่สำคัญเรายังสามารถนำไปถ่ายทอดให้คนรู้จักที่เราสนิทสนม หรือคุ้นเคยกันให้ลองมาอ่านกันดูได้ ก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วครับ เพราะความรู้ถือเป็นเรื่องที่เราควรจะนำมาแบ่งปันกันเป็นอย่างยิ่งครับ