วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การวางแผนภาษีส่วนบุคคล

      บทความนี้  ผมได้คัดลอกมาจากเว็บไชต์  http://www.thaifinancialadvisor.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538623997 เพื่อประโยชน์ในการศึกษาของตนเองรวมทั้งท่านที่สนใจ

เทคนิควางแผนภาษีส่วนบุคคล

      การวางแผนภาษีส่วนบุคคล เป็นการวางแผนภาษีของบุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะมีอาชีพกินเงินเดือน เจ้าของกิจการหรือมีอาชีพอิสระ โดยบุคคลที่มีรายได้ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นการรู้จักวางแผนที่เหมาะสมจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเราได้

รายได้อะไรบ้างที่ต้องเสียภาษี
      รายได้ที่ต้องเสียภาษีของบุคคลธรรมดา ตามกฎหมายเรียกว่า "เงินได้พึงประเมิน" หมายถึง เงินได้ของบุคคลใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม ของปีใดๆ ซึ่งได้แก่
      1. เงิน
      2. ทรัพย์สินซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ที่ได้รับจริง
      3. ประโยชน์ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน
      4. เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้
      5. เครดิตภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

กลยุทธในการวางแผนภาษีบุคคลธรรมดา
      โครงสร้างของการคิดภาษีบุคคลธรรมดา คือ
            ภาษีที่ต้องชำระ = เงินได้สุทธิ X อัตราภาษี
      ขณะที่เงินได้สุทธิคิดมาจาก
            เงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน - เงินบริจาค
      ดังนั้นกลยุทธ์ในการวางแผนภาษีส่วนบุคคลคือ
            1. ลด ยอดเงินได้ให้ต่ำลง
            2. เพิ่ม ค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้น
            3. เพิ่ม ค่าลดหย่อนให้สูงขึ้น
            4. เพิ่ม ยอดเงินบริจาคให้สูงขึ้น

รายละเอียดของแต่ละขั้นตอนมีดังนี้
      1. การลดยอดเงินได้ให้ต่ำลง ทำได้โดย
            1.1 แยกรายได้ที่ได้สิทธิยกเว้นภาษีออกไป  มีรายได้บางอย่างที่กม.ยกเว้นภาษีให้ เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ บำนาญตกทอด หรือ เงินส่วนแบ่งกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคล การแยกรายได้ส่วนนี้ออก ช่วยให้ประหยัดภาษีได้มาก ( ดูรายละเอียดเพิ่มเติม )
            1.2 แยกรายได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายและเป็นประเภทภาษีสุดท้าย ( final tax ) ออก  เพราะผู้มีเงินได้สามารถเลือกได้ว่า จะนำไปรวมคำนวนภาษีหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นควรพิจารณาก่อนว่ามันจะคุ้มค่าหรือไม่ ที่จะนำรายได้ดังกล่าวเข้าไปรวมคำนวณ เช่นดอกเบี้ย เงินปันผล หรือเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งทางการค้าหรือหากำไร
            1.3 แยกรายได้จากต่างประเทศออก  กรณีมีเงินได้จากต่างประเทศ พิจารณาดูว่าสามารถวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษี หรือขอยกเว้นภาษีทั้งจำนวนได้หรือไม่ โดยดูว่าประเทศต้นทางที่เป็นแหล่งเงินได้ มีอนุสัญญาภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่ต้องเสียให้ซ้ำซ้อน ถ้าไม่มีก็ให้ใช้วิธีพักเงินรายได้ไว้ในต่างประเทศ รอให้ข้ามปีภาษีก่อน (รอให้เลยวันที่ 31 ธันวาคม ) แล้วจึงนำเงินได้จำนวนนี้กลับเข้ามา ก็จะทำให้ได้สิทธิยกเว้นภาษีทั้งจำนวน
            1.4 เพิ่มหน่วยภาษีออกไป  เนื่องจากอัตราภาษีบุคคลธรรมดาเป็นอัตราก้าวหน้า ดังนั้นถ้าเราสามารถแตกฐานภาษีออกไปมากเท่าไร ฐานภาษีของแต่ละคนก็ยิ่งต่ำลงเท่านั้น วิธีที่นิยมคือ การจัดตั้งคณะบุคคลขึ้นเป็นหน่วยภาษีใหม่ เพื่อกระจายรายได้ออกไป และยังสามารถหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนได้เหมือนคนธรรมดาอีกด้วย
            1.5 การเลื่อนระยะเวลารับรู้รายได้ออกไป  ถ้าหากปีนี้ ฐานรายได้ของเราค่อนข้างสูง และเราสามารถต่อรองให้คู่ค้าของเรา หรือนายจ้างผู้จ่ายเงิน เลื่อนการจ่ายเงินออกไปเป็นต้นปีหน้า เพื่อให้รายได้ใหม่ไปตกปีหน้าซึ่งเราคาดการณ์ว่า ฐานรายได้จะต่ำกว่า เป็นการเกลี่ยรายได้ออกไป ทำให้ไม่ต้องแบกรับฐานภาษีที่สูงเกินไปในปีใดปีหนึ่ง
            1.6 การเปลี่ยนเงินได้เป็นสวัสดิการ ( fringe benefits )หากเรารับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนทั้งหมด เราก็ต้องเสียภาษีแบบเต็มที่ แต่ถ้าเราเปลี่ยนรายได้บางส่วนเป็นสวัสดิการ เช่น รถประจำตำแหน่ง ค่าน้ำมันรถ เบี้ยเลี้ยง ซึ่งรายการเหล่านี้ได้สิทธิยกเว้นภาษี เพราะถือเป็นสวัสดิการ หรือถือเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทได้
            1.7 เลือกลงทุนในหลักทรัพย์ หรือออมเงินประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีจากรัฐบาล ผลตอบแทนที่ได้จะได้ไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษี
      2. เพิ่มค่าใช้จ่าย ทำได้โดย
            2.1 เลือกอาชีพที่หักค่าใช้จ่ายได้สูงสุด  เนื่องจาก กรมสรรพากรแบ่งรายได้ของบุคคลธรรมดาออกเป็น 8 ประเภท แต่ละประเภทสามารถหักค่าใช้จ่ายได้แตกต่างกัน ดังนั้นการรู้จักจัดสรรให้เงินได้ของเราไปอยู่ในกลุ่มอาชีพที่หักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ย่อมช่วยประหยัดภาษีได้มาก ( ดูรายละเอียดแต่ละอาชีพ )
            2.2 แยกรายได้ให้มาจากหลากหลายอาชีพ เพื่อเพิ่มสิทธิหักค่าใช้จ่าย  เนื่องจาก การเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนจะหักค่าใช้จ่ายสูงสุดได้ 40% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท แต่ถ้าเราสามารถทำให้รายได้มาจากหลายลักษณะอาชีพ เช่น ค่าที่ปรึกษาในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ ค่าลิขสิทธิ์ หรือค่ารับเหมา จะช่วยทำให้หักค่าใช้จ่ายจากแต่ละหมวดได้มากขึ้น
            2.3 เครดิตภาษีเงินปันผล  โดยต้องดูว่า อัตราภาษีของบริษัทที่จ่ายปันผลให้เรานั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่าฐานภาษีของเรา เพราะถ้าบริษัทนั้นได้รับสิทธิยกเว้นภาษี หรือใช้อัตราภาษีที่ต่ำอยู่แล้ว อาจทำให้เราต้องเสียภาษีเพิ่มได้ถ้านำมารวมคำนวณภาษี
      3. เพิ่มค่าลดหย่อน ทำได้โดย
            3.1 พยายามใช้สิทธิค่าลดหย่อนตามที่กฎหมายกำหนดให้ได้มากที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนบุตร ค่าเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย การทำประกันชีวิต หรือการซื้อกองทุนต่างๆที่กม.ให้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ( ดูรายละเอียดเพิ่มเติม )
            3.2 การเครดิตภาษีล่วงหน้า  สำหรับค่าลดหย่อนต่างๆที่เราจะใช้สิทธิลดหย่อนตามข้อ 3.1 นั้น หากเราไม่ต้องการมาทำเรื่องขอภาษีคืนภายหลัง ก็ให้ทำเรื่องเครดิตภาษีไว้ล่วงหน้า โดยวิธีแสดงหลักฐานให้ฝ่ายบุคคลหรือฝ่ายบัญชีทราบว่า เราได้มีค่าใช้จ่ายใดบ้างที่กฎหมายอนุญาตให้นำมาลดหย่อนภาษีได้ ฝ่ายบุคคลก็จะนำรายการเหล่านั้นไปรวมคำนวณ ทำให้ยอดหักภาษี ณ ที่จ่ายลดลง และแสดงตัวเลขใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น
      4. เพิ่มยอดเงินบริจาค ทำได้โดย
            4.1 เงินที่ได้บริจาคให้วัด โบสถ์ หรือมัสยิด  สามารถขอใบอนุโมทนาบัตรมาลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ยังมีองค์กรการกุศล ตามที่กรมสรรพากรประกาศ หากเราได้เข้าไปช่วยเหลือบริจาคเงิน ก็สามารถนำใบเสร็จมาลดหย่อนภาษีได้ แต่รวมกันไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
            4.2 เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา  เงินที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษา มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว
      หากเราทำได้ครบถ้วนทุกข้อ เชื่อว่าการวางแผนภาษีของเราจะช่วยแบ่งเบาภาระให้เราได้เป็นอันมาก และสามารถนำเงินส่วนที่ประหยัดได้ไปสร้างความมั่งคั่ง ทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หลักคิดการลงทุน จากหนังสือ "วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง"

นายสุรศักดิ์ อัครอารีสุข
173 ถนนนครราชสีมา ดุสิต กรุงเทพฯ 10300
e-mail : surasakdota@crownpropertydotordotth surasak.cpb@gmail.com surasak_cpb@hotmail.com
http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/

สุรศักดิ์ อัครอารีสุข มีประสบการณ์และคลุกคลีในงานด้านนโยบายและแผน และงานด้านการจัดการองค์กรมามากกว่า 10 ปี เป็นผู้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการแก่ผู้บริหารโครงการขององค์กร  ปัจจุบัน (2555/2012) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกอาวุโส สังกัดกองพัฒนางานบุคคล ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล โดยดูแลงานด้านแผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรขององค์กร

บทความนี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ "การวัดมูลค่าหุ้นดัวยตัวคุณเอง" ของคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์" หรือนามแฝง  "สุมาอี้" ในหัวข้อ  หลักการลงทุน 10 ข้อ ของ "สุมาอี้" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาของตัวผมเอง  และท่านที่อาจจะสนใจ

1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูล  จนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวน้ั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น  ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง  ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังได้กำไร
2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้  อย่าพยายามทำกำไรด้วยการซื้อต่ำขายสูง  การเทรดหุ้นทุกว้น  เป็นเสมือนการกระโจนเข้าเครื่องบดเนื้อ
3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด  ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายเศรษฐกิจมหภาค  เรือทุกลำต้องเผชิญพายะเหมือนกันหมด  จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด  แทนที่จะคาดเดาว่าพายจะมาเมือไร
4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบัน  จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาด  ว่าพรุ่งนี้้กำไรจะเป็นเท่าไร    หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  หุ้นที่ขึ้นเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีแต่กำลังจะดีขึ้น  หรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก
5. หุ้นบลูชิพที่เติบโตช้า  แม้ dowside risk จะต่ำ (-20%)  แต่ upside ก็ต่ำ (-20%)  หุ้นเติบโตสูงจึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100  แต่ upside  ของมันไม่มีขีดจำกัด  (อาจจะเป็น 200%  500%  1000% ....)  พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลาย ๆ ตัว  แม้จะผันผวนมากกว่า  แต่เรื่องจะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็บไปด้วยหุ้นบลูชิพในระยะยาว
6.  อย่าให้ความสำคัญกับ Dividend yield  มากนัก  เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายปันผลเท่าเดิมทุกปี  จงสนใจว่าบริษัทเอากำไรสะสมไปใช้ทำอะไรมากกว่า  มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้  ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น
7.  หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุด  อย่ามัวเสียลเวลานั่งคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไร  หุ้นเท่าไร  เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา  อย่ากลัว Market Crash  เพราะในระยะยาว ๆ ไม่มีตลาดหุ้นใดในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจูดสูงสุดเดิมได้  เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมจะต้องโตขึ้นไปเรื่อย ๆ
8.  จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย  หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว  ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
9.  โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวัน  มิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ  บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด  ในบรรดาหุ้น 20 ตัว  ที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี  จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 2-3 ตัว  ใน 20 ตัว  ที่คุณคิดว่ามีโอกาสดีที่สุดแล้วคุณจะพบว่า  คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินาของคุณออกเป็นส่วนแล้วซื้อหุ้นทั้ง 20 ตัวนั้น
10.  นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ  ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่มีความคิดเป็นอิสระ  ถ้าคุณจอดรถรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยก  ไม่มีรถวิ่งอยู่  แต่รถคันหลังกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย  ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้น  และรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป  คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ

ข้อคิดเพิ่มเติม
- หุ้นของธุรกิจรับจ้างผลิต  หรือรับเหมาก่อสร้างบางตัว  มีพีอีเรโชที่คอนข้างต่ำ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  หุ้นเหล่านั้นจะเป็นหุ้นที่มีราคาถูกเสมอไป  ตลาดอาจให้ราคาต่ำเพราะกำไรของธุรกิจเหล่านี้มีความมั่นคงน้อยมากก็ได้  นักลงทุนบางท่านเข้าใจว่าหุ้นที่มีเรโชต่ำ  เช่น 5-6 เท่า  ถือเป็นหุ้นราคาถูกเสมอ  จึงรึบเข้าไปลงทุน  ซึ่งไม่จริงเสมอไป
-  ถ้าเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเป็นบวก  เราอาจตั้งสมมุติฐานให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทในอนาคตเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
-  ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจน้อย  เช่น  ธุรกิจซื้อมาขายไป  หรือธุรกิจที่อาศัยสินทรัพย์ทางปัญญา  มักจะมีกระแสเงินสดอิสระมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ  ในขณะที่ธุรกิจที่ต้องสินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจมาก (Capital-intensive business)  เช่น  พวกโรงงานอุตสาหกรรม  มักมีกระแสเงินสดอิสระน้อยเมื่อเทียบกับกำหรสุทธิ