วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

หลักคิดการลงทุน จากหนังสือ "วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง"

นายสุรศักดิ์ อัครอารีสุข
173 ถนนนครราชสีมา ดุสิต กรุงเทพฯ 10300
e-mail : surasakdota@crownpropertydotordotth surasak.cpb@gmail.com surasak_cpb@hotmail.com
http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/

สุรศักดิ์ อัครอารีสุข มีประสบการณ์และคลุกคลีในงานด้านนโยบายและแผน และงานด้านการจัดการองค์กรมามากกว่า 10 ปี เป็นผู้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการแก่ผู้บริหารโครงการขององค์กร  ปัจจุบัน (2555/2012) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกอาวุโส สังกัดกองพัฒนางานบุคคล ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล โดยดูแลงานด้านแผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรขององค์กร

บทความนี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ "การวัดมูลค่าหุ้นดัวยตัวคุณเอง" ของคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์" หรือนามแฝง  "สุมาอี้" ในหัวข้อ  หลักการลงทุน 10 ข้อ ของ "สุมาอี้" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาของตัวผมเอง  และท่านที่อาจจะสนใจ

1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูล  จนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวน้ั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น  ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง  ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังได้กำไร
2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้  อย่าพยายามทำกำไรด้วยการซื้อต่ำขายสูง  การเทรดหุ้นทุกว้น  เป็นเสมือนการกระโจนเข้าเครื่องบดเนื้อ
3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด  ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายเศรษฐกิจมหภาค  เรือทุกลำต้องเผชิญพายะเหมือนกันหมด  จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด  แทนที่จะคาดเดาว่าพายจะมาเมือไร
4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบัน  จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาด  ว่าพรุ่งนี้้กำไรจะเป็นเท่าไร    หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี  หุ้นที่ขึ้นเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีแต่กำลังจะดีขึ้น  หรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก
5. หุ้นบลูชิพที่เติบโตช้า  แม้ dowside risk จะต่ำ (-20%)  แต่ upside ก็ต่ำ (-20%)  หุ้นเติบโตสูงจึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100  แต่ upside  ของมันไม่มีขีดจำกัด  (อาจจะเป็น 200%  500%  1000% ....)  พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลาย ๆ ตัว  แม้จะผันผวนมากกว่า  แต่เรื่องจะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็บไปด้วยหุ้นบลูชิพในระยะยาว
6.  อย่าให้ความสำคัญกับ Dividend yield  มากนัก  เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายปันผลเท่าเดิมทุกปี  จงสนใจว่าบริษัทเอากำไรสะสมไปใช้ทำอะไรมากกว่า  มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้  ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น
7.  หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุด  อย่ามัวเสียลเวลานั่งคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไร  หุ้นเท่าไร  เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา  อย่ากลัว Market Crash  เพราะในระยะยาว ๆ ไม่มีตลาดหุ้นใดในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจูดสูงสุดเดิมได้  เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมจะต้องโตขึ้นไปเรื่อย ๆ
8.  จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย  หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว  ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
9.  โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวัน  มิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ  บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด  ในบรรดาหุ้น 20 ตัว  ที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี  จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 2-3 ตัว  ใน 20 ตัว  ที่คุณคิดว่ามีโอกาสดีที่สุดแล้วคุณจะพบว่า  คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินาของคุณออกเป็นส่วนแล้วซื้อหุ้นทั้ง 20 ตัวนั้น
10.  นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ  ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่มีความคิดเป็นอิสระ  ถ้าคุณจอดรถรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยก  ไม่มีรถวิ่งอยู่  แต่รถคันหลังกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย  ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้น  และรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป  คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ

ข้อคิดเพิ่มเติม
- หุ้นของธุรกิจรับจ้างผลิต  หรือรับเหมาก่อสร้างบางตัว  มีพีอีเรโชที่คอนข้างต่ำ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  หุ้นเหล่านั้นจะเป็นหุ้นที่มีราคาถูกเสมอไป  ตลาดอาจให้ราคาต่ำเพราะกำไรของธุรกิจเหล่านี้มีความมั่นคงน้อยมากก็ได้  นักลงทุนบางท่านเข้าใจว่าหุ้นที่มีเรโชต่ำ  เช่น 5-6 เท่า  ถือเป็นหุ้นราคาถูกเสมอ  จึงรึบเข้าไปลงทุน  ซึ่งไม่จริงเสมอไป
-  ถ้าเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเป็นบวก  เราอาจตั้งสมมุติฐานให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทในอนาคตเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
-  ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจน้อย  เช่น  ธุรกิจซื้อมาขายไป  หรือธุรกิจที่อาศัยสินทรัพย์ทางปัญญา  มักจะมีกระแสเงินสดอิสระมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ  ในขณะที่ธุรกิจที่ต้องสินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจมาก (Capital-intensive business)  เช่น  พวกโรงงานอุตสาหกรรม  มักมีกระแสเงินสดอิสระน้อยเมื่อเทียบกับกำหรสุทธิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น