173 ถนนนครราชสีมา ดุสิต กรุงเทพฯ 10300
e-mail : surasakdota@crownpropertydotordotth surasak.cpb@gmail.com surasak_cpb@hotmail.com
http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข มีประสบการณ์และคลุกคลีในงานด้านนโยบายและแผน และงานด้านการจัดการองค์กรมามากกว่า 10 ปี เป็นผู้ให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงการแก่ผู้บริหารโครงการขององค์กร ปัจจุบัน (2555/2012) ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกอาวุโส สังกัดกองพัฒนางานบุคคล ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล โดยดูแลงานด้านแผนกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรขององค์กร
บทความนี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ "การวัดมูลค่าหุ้นดัวยตัวคุณเอง" ของคุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์" หรือนามแฝง "สุมาอี้" ในหัวข้อ หลักการลงทุน 10 ข้อ ของ "สุมาอี้" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาของตัวผมเอง และท่านที่อาจจะสนใจ
1. ซื้อก็ต่อเมื่อได้วิเคราะห์ข้อมูล จนมั่นใจว่ามูลค่าตลาดของหุ้นตัวน้ั้นต่ำกว่ามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมดที่คาดหวังได้ของบริษัทเท่านั้น ซึ่งถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ซื้อมาแล้วไม่ต้องขายเลยก็ยังได้กำไร
2. ทิศทางของราคาหุ้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางทำนายได้ อย่าพยายามทำกำไรด้วยการซื้อต่ำขายสูง การเทรดหุ้นทุกว้น เป็นเสมือนการกระโจนเข้าเครื่องบดเนื้อ
3. ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บริษัทและอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ไม่ต้องให้ความสำคัญกับการทำนายเศรษฐกิจมหภาค เรือทุกลำต้องเผชิญพายะเหมือนกันหมด จงพยายามเลือกเรือลำที่ดีที่สุด แทนที่จะคาดเดาว่าพายจะมาเมือไร
4. ราคาหุ้นไม่มีความสัมพันธ์กับกำไรในปัจจุบัน จะวิ่งไปตามความเชื่อของตลาด ว่าพรุ่งนี้้กำไรจะเป็นเท่าไร หุ้นที่ขึ้นไม่ใช่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หุ้นที่ขึ้นเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ดีแต่กำลังจะดีขึ้น หรือหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีอยู่แล้วและจะดีขึ้นไปอีก
5. หุ้นบลูชิพที่เติบโตช้า แม้ dowside risk จะต่ำ (-20%) แต่ upside ก็ต่ำ (-20%) หุ้นเติบโตสูงจึงเป็นหุ้นที่น่าลงทุนมากกว่าเพราะแม้ว่า downside ของมันอาจจะมากถึง -100 แต่ upside ของมันไม่มีขีดจำกัด (อาจจะเป็น 200% 500% 1000% ....) พอร์ตที่มีหุ้นเติบโตสูงหลาย ๆ ตัว แม้จะผันผวนมากกว่า แต่เรื่องจะวิ่งได้ไกลกว่าพอร์ตที่เต็บไปด้วยหุ้นบลูชิพในระยะยาว
6. อย่าให้ความสำคัญกับ Dividend yield มากนัก เพราะไม่มีกฎว่าบริษัทต้องจ่ายปันผลเท่าเดิมทุกปี จงสนใจว่าบริษัทเอากำไรสะสมไปใช้ทำอะไรมากกว่า มูลค่าของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อบริษัทลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเท่านั้น
7. หุ้นเป็นหลักทรัพย์ที่มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยงมากที่สุด อย่ามัวเสียลเวลานั่งคิดว่าควรแบ่งเงินไปลงตราสารหนี้เท่าไร หุ้นเท่าไร เงินส่วนใหญ่ของคุณควรอยู่ในหุ้นกับเงินสดตลอดเวลา อย่ากลัว Market Crash เพราะในระยะยาว ๆ ไม่มีตลาดหุ้นใดในโลกที่ไม่สามารถกลับมาสูงกว่าจูดสูงสุดเดิมได้ เพราะเศรษฐกิจในระบอบทุนนิยมจะต้องโตขึ้นไปเรื่อย ๆ
8. จงละเลยหุ้นที่มีประวัติเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือมีพฤติกรรมดูแลราคาหุ้นแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่าบริษัทเหล่านั้นไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
9. โอกาสในตลาดหุ้นไม่ได้มีมากขนาดหาได้ทุกวัน มิฉะนั้นผู้คนคงเลิกทำงานประจำ บริษัทคงเลิกนำเงินไปลงทุนนอกตลาด ในบรรดาหุ้น 20 ตัว ที่คุณอยากซื้อในหนึ่งปี จงใช้เงินทั้งหมดที่มีอยู่ซื้อแค่ 2-3 ตัว ใน 20 ตัว ที่คุณคิดว่ามีโอกาสดีที่สุดแล้วคุณจะพบว่า คุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการแบ่งเงินาของคุณออกเป็นส่วนแล้วซื้อหุ้นทั้ง 20 ตัวนั้น
10. นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ร้อยทั้งร้อยเป็นคนที่มีความคิดเป็นอิสระ ถ้าคุณจอดรถรอไฟแดงอยู่ที่สี่แยก ไม่มีรถวิ่งอยู่ แต่รถคันหลังกดดันคุณด้วยการบีบแตรไล่ให้คุณวิ่งออกไปเลย ถ้าคุณไม่สนใจแรงกดดันนั้น และรอจนไฟเขียวจึงค่อยไป คุณมีแนวโน้มที่จะเล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จครับ
ข้อคิดเพิ่มเติม
- หุ้นของธุรกิจรับจ้างผลิต หรือรับเหมาก่อสร้างบางตัว มีพีอีเรโชที่คอนข้างต่ำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หุ้นเหล่านั้นจะเป็นหุ้นที่มีราคาถูกเสมอไป ตลาดอาจให้ราคาต่ำเพราะกำไรของธุรกิจเหล่านี้มีความมั่นคงน้อยมากก็ได้ นักลงทุนบางท่านเข้าใจว่าหุ้นที่มีเรโชต่ำ เช่น 5-6 เท่า ถือเป็นหุ้นราคาถูกเสมอ จึงรึบเข้าไปลงทุน ซึ่งไม่จริงเสมอไป
- ถ้าเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทเป็นบวก เราอาจตั้งสมมุติฐานให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทในอนาคตเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกันกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น
- ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจน้อย เช่น ธุรกิจซื้อมาขายไป หรือธุรกิจที่อาศัยสินทรัพย์ทางปัญญา มักจะมีกระแสเงินสดอิสระมากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิ ในขณะที่ธุรกิจที่ต้องสินทรัพย์ในการดำเนินธุรกิจมาก (Capital-intensive business) เช่น พวกโรงงานอุตสาหกรรม มักมีกระแสเงินสดอิสระน้อยเมื่อเทียบกับกำหรสุทธิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น