วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

จดบันทึกลงบล็อก

       เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates)  สองผู้แต่งหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories  แปลโดย วิชิตรา  สุนทรพิพิธ  ได้กล่าวไว้ตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ว่า..
       ...หากไม่มีทฤษฎีการจัดการและไอเดียที่บอกคุณถึงการปฏิบัติ  คุณก็เหมือนช่างไม้ที่มีค้อนเพียงอันเดียวในกล่องเครื่องมือ โดยมีผลลัพธ์ของทุกปัญหาเป็นเหมือนตะปู...
       ซึ่งทั้งสองมองว่า  การที่เราจะเป็นนักบริหารที่มีความสามารถสูง  จนกลายเป็นที่จับตาขององค์กรได้นั้น  การมีความรู้พื้นฐานในทฤษฎีด้านการจัดการต่าง ๆ นั้น  ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตัวเรา 
       แต่สิ่งที่เราต้องสร้างเพิ่มเติม  คือ ประสบการณ์ในการนำทฤษฎีต่าง ๆ  มาปรับใช้งานด้วยตนเอง  ฝึกฝนทักษะการบริหารในทุกโอกาส  พร้อมทั้งลองทำตามทฤษฎีทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน 
       เปรียบได้ดั่งนักดนตรีแจ๊สที่เก่งกาจ  ซึ่งสามารถเล่นตามท่วงทำนองพื้นฐานได้อย่างไม่มีผิดพลาด  
       แต่การจะเป็นนักดนตรีแจ๊สที่ยิ่งใหญ่  นักดนตรีแจ๊สท่านนั้นจะต้องผ่านการเรียนรู้ที่จะแสดงสดต่อหน้าผู้ชม
       ผู้เขียนทั้งสอง  ยังไม่แนะนำให้เราใช้เพียงการสังเกตนักบริหารที่เก่งกาจแล้วนำมาทำตามทั้งหมด  เพราะนั่นจะนำพาให้ตัวเราก้าวไปสู่ความล้มเหลว 
       เนื่องจากขาดลักษณะเฉพาะอย่างที่เราเป็น  เราจึงต้องพัฒนาจนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา 
       ...สิ่งที่เป็นของตัวเอง  คือสิ่งที่ถูกต้อง...  
       แล้วเราจะพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา ได้อย่างไร 
       ทั้งสองให้คำแนะนำว่าเราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย
       ...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน   ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ   และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..  
       เมื่อได้ทำทั้งสามประการนี้อย่างต่อเนื่องนานวันเข้า  ก็จะค่อย ๆ พัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา  ให้เกิดขึ้นมา
       ยิ่งเรามีความรู้เกี่ยวกับ สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา  และสไตล์ดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นได้มากเท่าไร  
       ตัวเราก็จะมีประสิทธิภาพในการบริหารมากขึ้นเท่านั้น
       แล้วเรา  จะสะสมความรู้  เหล่านี้ได้อย่างไร
       แมคกราท และ เบทส์  ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าเราจำเป็นต้อง  จดบันทึก  อย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การบริหารของตัวเราเก็บไว้  เพราะสามารถใช้เป็นสิ่งสะท้อนของตัวเราได้
       เช่น...  เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ?  
       ทำไมจึงเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ?  
       เราสามารถทำอะไรให้แตกต่างจากนี้ได้หรือไม่ ?  
       ทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในสถานการณ์นี้แต่ล้มเหลวในสถานการณ์อื่น ? ... ฯลฯ
       การจดบันทึกเก็บไว้  เมื่อเราได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จะทำให้เราได้เรียนรู้จากสิ่งสะท้อนเหล่านี้  
       และยังสามารถนำมาใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานได้ในอนาคต
       การจดบันทึกหรือเขียนโน้ตสิ่งสะท้อนเล็ก ๆ นี้  จะช่วยให้เราจดจำฝังใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา  
       มันจะผสมผสานอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว  สิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมกับอารมณ์  ความรู้สึก  ความเชื่อ และทํศนคติ  จนกลายเป็นแหล่งสะสมความรู้โดยปริยาย
       เมื่อถึงคราวจำเป็น  ความรู้เหล่านี้จะคอยบอกตัวเราในการลงมือปฏิบัติเรื่องใด ๆ รวมถึงการตัดสินใจของตัวเรา  จนเกิดเป็น  สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง 
       เหมือนกับนักดนตรี  ที่สามารถเล่นดนตรีได้เข้าขากับผู้อื่น  โดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก่อน
       ในยามที่เราได้รับรู้ข้อมูลจากแหล่งอื่น  แล้วเรารู้ได้ในทันทีทันใดว่าความเห็นเหล่านั้น  ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้  แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม  
       สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนทั้งสองเรียกว่า  ความรู้ที่เป็นไปโดยปริยาย  ซึ่งคนรุ่นก่อนเรียกว่า  สัญชาตญาณ หรือ ลางสังหรณ์ (Gut instinct)
       แล้วเรา  จะจดบันทึกอย่างไร  ให้สะดวกในการเรียกใช้งานสม่ำเสมอ
       โยอิจิ อิโนอุเอะ (Yoichi Inoue) ผู้แต่งหนังสือในชื่อภาษาไทย  ว่างงาน แต่ไม่ว่างเงิน (2561)  ให้คำแนะนำว่า...
       ให้เราเขียน บล็อก  ขึ้นมาเป็นของตัวเราครับ  
       เช่นเดียวกับที่ตัวผม (แอดบล็อกนี้) กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่นั่นเองครับ
       ตัว โยอิจิ ได้กล่าวว่า  การเขียนบล็อกนั้น  จะทำให้เรามี  สินทรัพย์  ทางความรู้ของตัวเราเอง  
       ที่เราสามารถ หยิบยืมหรือนำขึ้นมาใช้งาน  ได้ตลอดกาล  
       เราสามารถที่จะหยิบมาใช้งานหรือเข้ามาค้นคว้าเพิ่มเติมเมื่อไรก็ได้  
       และยังสามารถเผยแพร่เป็นข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้
       แม้ในช่วงแรก ๆ  เนื้อหาที่เขียนไว้อาจจะยังไม่ดีนัก  เนื่องจากเรายังไม่ตกผลึกทางความคิดมากพอ   
       แต่เราก็สามารถที่จะกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
       หากเราพัฒนาเนื้อหาภายในบล็อกอย่างต่อเนื่อง  โดยมุ่งเน้นพัฒนาเนื้อหาตามความเชี่ยวชาญของตัวเรา  
       ในอนาคตเรายังสามารถนำเนื้อหาภายในบล็อกมาใช้ในการ จัดสัมมนา  โดยอ้างอิงเนื้อหาจากบล็อกได้เองอีกด้วยครับ
       การสร้าง สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง ยังสามารถนำมาปรับใช้กับวิธีการลงทุนในหุ้น  หรือการบริหารเงินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       เพราะในการลงทุนเราไม่อาจยืนยันได้ว่า  การนำทฤษฎีการลงทุนแบบใดแบบหนึ่งมาใช้งานแล้วจะเหมาะสมกับตัวเราทั้งหมด
       หรือหากทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะประสบความสำเร็จตามได้
       เราจำเป็นต้องสร้างทางหรือ สไตล์  ของเราขึ้นมาเอง  โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 3 ประการข้างต้นครับ 
       โดยที่เรายังสามารถนำ  ความรู้ทางการเงิน หรือประสบการณ์ในการลงทุน  ของตัวเราเอง  มาจดบันทึกเก็บไว้ในบล็อก
       ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวเราทั้งสองทางครับ
สุรศักดิ์  อัครอารีสุข

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย

       ในโลกแห่งการบริหารจัดการองค์กร สถิติและข้อมูล  นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรสมัยใหม่
       ...หากองค์กรใดไม่มีการจัดเก็บหรือรวบรวมไว้  ก็อาจจะทำให้องค์กรนั้นสูญเสียอำนาจในการบริหารองค์กรไปได้  (ชัชวลิต ศรวารี, คนกับองค์กร.)    
       หากท่านใดชอบชมภาพยนตร์  อยากแนะนำให้ลองหาเรื่อง Draft Day (2014)  ซึ่งนำแสดงโดย เควิน คอสเนอร์  ดารารุ่นเก๋ามาชมกันครับ   
       เนื้อหาของภาพยนตร์พูดถึงเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถึงช่วงเวลาการ Draft หรือการเลือกตัวนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลหน้าใหม่ (Rookie)  ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในประเทศสหรัฐอเมริกา   จากลีกในระดับมหาวิทยาลัย หรือ NCAA  เข้าสู่ทีมอาชีพในลีก NFL
       หลาย ๆ ท่าน  น่าจะตระหนักถึงความสำคัญของสถิติและข้อมูลกันมากยิ่งขึ้น  ภายหลังที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันแล้วอย่างแน่นอน  
       รวมถึงเทคนิคหรือวิธีการที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ดังกล่าว  ที่ได้มีการนำมาข้อมูลมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
       เพราะตลอดเวลาที่เราได้เห็นในภาพยนตร์  เราจะเห็นตัวเอกของเรื่องที่ต้องมีการรวบรวม  สถิติและข้อมูล  ของนักกีฬาจากทุกกลุ่ม  
       ทั้งจากกลุ่มนักกีฬาที่มีอยู่เดิมในสังกัด  จากกลุ่มนักกีฬาหน้าใหม่  จากผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้าม  ไปจนถึงจากสตาฟท์ทีมงานของตนเอง  
       รวมถึงยังต้องมีการต่อรอง  การบลั๊ฟ  การเปลี่ยนแผน และอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของ  การรวบรวมข้อมูล  เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง
       เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้  จะส่งผลต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของทีมไปจนจบฤดูกาล  
       และในบางทีมอาจต้องดูแลกันไปจนครบสัญญากันเลยทีเดียว
       เมื่อได้รับชมจนจบแล้ว  ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจถึงความเป็นมหาอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกยุคสมัยปัจจุบันแต่อย่างใด 
       เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกให้เห็นผ่านการชมภาพยนตร์ก็คือ  ความเป็นเลิศในงานด้านการข่าว  ของคนในประเทศเขาที่ฝังรากลึกไปในทุกวงการจริง ๆ
       ประเด็นที่ได้นำเสนอมาข้างต้น ...  
       เราสามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการลงทุนของตัวเรา  เช่น  การลงทุนในหุ้น  ได้อย่างไร
       หลายปีที่ผ่านมาในการลงทุนของตนเอง  ผมได้ยินคำว่า  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  บ่อยครั้ง  จึงได้ลองติดตามศึกษาดู  
       ก็พบว่าเป็นคำที่ปรากฎอยู่ในผลงานของนักลงทุนระดับตำนานของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์   
       จากที่ได้ติดตามอ่านประวัติของวอร์เรน  บัฟเฟตต์   ทำให้ทราบว่า  นี่คือ  หัวใจสำคัญ  ที่ทำให้เขายังคงเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
       เมื่อได้ลองตามศึกษาเพิ่มเติมดู  ตัวผมเองก็ยังไม่พบ (ซึ่งอาจจะมี แต่ผมยังไม่เจอ) ถึงแนวทางที่ชัดเจนว่า  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  มีหน้าตาเป็นอย่างไร

       ในมุมมองผม  เราจึงต้อง  กำหนดหรือสร้างขึ้นมา  ด้วยตัวของเราเองครับ 
       แล้วเราจะกำหนด  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  อย่างไร
       ปกติผมใช้การเก็บรวบรวม สถิติและข้อมูล  ของราคาหุ้นที่ผมสนใจด้วยตนเอง  
       ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นขนาดใหญ่  และมีปันผลสม่ำเสมอครับ
       นอกเหนือจากการศึกษา งบดุล  และ  การติดตามข่าวสาร  ของหุ้นแต่ละตัวที่เราสนใจ 
       โดยใช้โปรแกรมเอ็กเซลแบบง่าย ๆ ครับ...
       จริงอยู่ที่ในโปรแกรมสตรีมมิ่งที่เราใช้ในการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน  ก็มีข้อมูลเหล่านี้แสดงผลเป็นกราฟราคา  
       แต่ผมพบจากประสบการณ์ว่า  การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อย่างมีวินัยด้วยตนเอง  ทำให้เราตัดสินใจได้ดีกว่ามาก
       ".... คุณต้องทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์  ทำให้มันเป็นตัวเลข  มันจึงจะวัดได้   เมื่อวัดได้ก็จะทำให้เราเข้าใจ..."  
       เป็นคำกล่าวที่ผมจำขึ้นใจมาจากนักคณิตศาสตร์ระดับโลกท่านหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
       เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลออกมาแล้ว  เราก็สามารถที่จะ  จัดกระทำ  กับข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง
       พูดให้ข้าใจง่าย  เราเป็นผู้ควบคุมข้อมูล  นั่นเองครับ 
       เมื่อได้รวบรวมและประมวลข้อมูลด้วยตนเอง  ก็ทำให้ตัวเราสามารถที่จะ  ตั้งคำถาม  กับตัวเองได้ว่า 
       ค่าเฉลี่ยราคา  สูงสุด - ต่ำสุด  ของหุ้นที่เราศึกษาแล้วนั้น  มีราคาอยู่ที่เท่าไร
       ภาพใน 1 ปี  จริง ๆ แล้ว  เขาซื้อ-ขาย  กันทั้งหมดเป็นจำนวนกี่วัน... 250 วัน  หรือ 300 วัน ...
       จากจำนวนวันทั้งหมด  ราคาเฉลี่ยกลาง  ที่เราเห็นควรจะใช้ราคาตรงวันใดมาเป็นฐานคิด  (หรือเรียกอีกอย่าง คือ เป็นราคาที่เราใช้เป็น สมมุติฐาน)  ... 
       ควรเป็นวันที่ 100  หรือวันที่ 125  หรือ.....
       จาก  ราคาเฉลี่ยกลาง  ที่เราคิด  เราควรให้  ส่วนลด (เข้าซื้อสะสม)  หรือ คิดส่วนเพิ่ม (ขายทำกำไร)  สักกี่เปอร์เซ็นต์ดี 
       ควรจะเป็น  ...  7%  หรือ  11%  หรือ .......ทั้งในการซื้อ  และการขาย ดีหรือไม่
       ...เคล็ดลับของความร่ำรวย  ก็เหมือนกับเคล็ดลับของการเล่นตลก... "จังหวะ"...  
       เป็นคำกล่าวที่ผมชอบมาก  ซึ่งได้รับชมมาจากภาพยนตร์เรื่อง A good year ( 2006)..
       แล้วเราควรจะกำหนด  จังหวะ  ในการเข้า ซื้อ-ขาย อย่างไร ... 
       ในระยะ 1 ปี  เราต้องรอให้ตลาดปรับตัวลงสัก 10 - 15 % ก่อนดีไหม  หลังจากไปถึงจุดที่เราคิดว่าสูงสุดแล้วของแต่ละปี  แล้วเราจึงค่อยเข้าซื้อ...
       ในการเข้าซื้อ เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนการปันผลสัก 60 วันทำการดีไหม ...
       หรือเราควรจะทยอยซื้อทีละ 100 หุ้น  แล้วเวลาขายเราขายทิ้งทั้งหมดทีเดียว ...
       เราควรใช้ช่วงเวลาหลังการปันผลสัก 60 วันทำการดีหรือไม่  ในการขายหุ้นออก .. 
       
       หรือเราจะไม่ขายบ่อยครั้ง  แต่ใช้การบริหารเป็นภาพรวมทั้งพอร์ตดีไหม  โดยใช้การคิดแบบร้อยละเป็นตัวประเมินในการบริหารพอร์ตของตัวเรา ...
       ทั้งหมดนี้   แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรามีการรวบรวม สถิติและข้อมูล  อย่างต่อเนื่องและมีวินัย
       เราก็จะเป็นผู้ที่  ควบคุมข้อมูล  จนสามารถนำมาจัดกระทำกับในแบบที่เราต้องการ  หรือนำข้อมูลมาบริหารให้ตัวเราได้พิจารณาอย่างเป็นระบบ  
       จะทำให้เราเห็นแนวโน้มการตัดสินใจหรือจุดตัดสินใจที่เหมาะสมกับตัวเรา   อันจะทำให้ การลงทุนของตัวเรา  มีความยั่งยืน
       นี่คือ  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ในมุมมองของผมครับ
สุรศักดิ์  อัครอารีสุข