วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

บูรณาการงานทรัพยากรมนุษย์

       หนังสือ  "บูรณาการงานทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะองค์การ หรือ Integrated HR, Strengthening Corporate Competency"  เขียนโดย สุรเชษฐ หฤษฎ์ภูมิ. (2556) 
       เป็นหนึ่งในหนังสือด้าน HR  หลาย ๆ เล่ม  ที่ผมค่อนข้างชอบมากเลยทีเดียว
       ตัวหนังสือนำเสนอให้เห็นถึงภาพรวมของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ 
       สำหรับใช้เป็นแนวทางแก่นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถนำมาปรับใช้งานได้เป็นอย่างดี
       หากเรามองในเรื่องแนวทางการพัฒนา  สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา  จากหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน
       หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories ซึ่งแต่งโดย เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates) 
       ที่กล่าวว่า  สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา  เราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย....
       คือ ...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน   ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ   และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..  
       แนวทางหรือที่มาของหนังสือเล่มนี้  ก็ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ไม่แตกต่างกันนัก
       เริ่มต้นจาก  ตัวผู้เขียนเองมีความต้องการเพิ่มพูนเทคนิคการบริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ใหม่อย่างต่อเนื่อง   
       จึงได้ค้นคว้าแนวคิดใหม่ ๆ ในงานด้านนี้อย่างสม่ำเสมอ
       ผ่านการปะติดปะต่อความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่มักแยกส่วนออกจากกัน
       นำมาผสมผสานกับประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับจากการทำงานด้านการจัดฝึกอบรมของตนเอง 
       รวมถึงการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้อีกจำนวนมาก
       จนสามารถกลั่นกรองและถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือได้อย่างน่าอ่านและน่าติดตาม
       ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของตัวผู้เขียนเอง  
       พบว่า  องค์การส่วนใหญ่ถึงจะให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ 
       แต่ผลงานของหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์  ก็มักจะ ไม่โดดเด่นมากนัก  ในสายตาของผู้บริหารระดับสูง
       ถึงแม้ผู้บริหารที่ดูแลงานด้านทรัพยากรมนุษย์  จะได้รับโอกาสเข้าร่วมประชุมในระดับบอร์ดบริหารขององค์การอย่างสม่ำเสมอ
       หรือผู้รับผิดชอบในงานทรัพยากรมนุษย์  มีความพยายามในการการนำ  เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่  เข้ามาสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์การ 
       ไปจนถึง  การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน  ให้แก่บุคลากรขององค์การอย่างต่อเนื่องอยู่ก็ตาม 
       ผู้เขียนมองว่าจากผลงานดังกล่าวก็อาจจะยังอยู่เพียงแค่ในระดับ  ที่พอจะทำให้ผู้บริหารระดับสูง เพียงยอมรับได้  เท่านั้น
       แล้วงานด้านทรัพยากรมนุษย์  จะสร้างคุณค่าและความโดดเด่น  ในองค์การให้กับตนเองได้อย่างไร
       ประเด็นนี้  ผู้เขียนมองว่าคุณค่าและความโดดเด่นดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับ  เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่  แต่เพียงอย่างเดียว
       เนื่องจากผู้เขียนมองว่าเครื่องมือเหล่านี้  เป็นการใช้เพื่อเพิ่มประสิทธภาพการทำงานขององค์การ  ให้มากขึ้นเท่านั้น
       แต่อยู่ที่  การสร้างและปรับเปลี่ยนทุกระบบอย่างรอบด้าน  ให้สอดรับกันแบบบูรณาการ
       โดยมี  คน  เป็นศูนย์กลาง 
       และให้ใช้  ระบบทรัพยากรมนุษย์  เป็นตัวเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
       ผู้เขียนเน้นย้ำว่า  ก่อนที่จะเชื่อมโยงระบบทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดบูรณาการเข้าด้วยกันนั้น 
       นักทรัพยากรมนุษย์  ต้องศึกษาทำความเข้าใจต่อรากฐานภารกิจขององค์การ  จนเข้าใจอย่างดี  
       แล้วจึงนำมาใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์เพื่อวางแผนดำเนินการเป็นส่วน ๆ
       เนื้อหาของหนังสือมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการ 3 ส่วนงาน  คือ  การบริหารโครงสร้างเงินเดือน  การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์  และงานด้านพนักงานสัมพันธ์  โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 6 บท
       ตลอดทั้ง 6 บท  ผู้เขียนได้นำ  กรอบหรือเฟรมเวิร์ก  Urich Model ของ Dave Urich  มาใช้อธิบายร่วมในลักษณะสอดแทรกไปตามแต่ละบท  
       เป็นการนำ  ทฤษฎีด้านทรัพยากรมนุษย์  มาประยุกต์ใช้กับการทำงานของผู้เขียนเอง 
       โดยนำเสนอเนื้อหาได้อย่างกระชับและมีทิศทาง   
       ไม่ว่าในเรื่องของการเสริมบทบาทนักทรัพยากรมนุษย์ในฐานะนักยุทธศาสตร์ด้านคนและการจัดทำแผนปฏิบัติการ  
       หรือการเชื่อมโยงเครื่องมือและข้อมูลทรัพยากรมนุษย์เข้าด้วยกัน 
       เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านการจัดการ  และประสิทธิผลในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับคน  
       ให้สอดคล้องกับทิศทางขององค์การแบบบูรณาการ
       ไปจนถึง  แนวทางการพัฒนาศักยภาพของคนในองค์การให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจขององค์การ  
       รวมถึงการค้นหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงขององค์การ 
       พร้อมทั้งนำเสนอเครื่องมือที่ใช้ในการจับสัญญาณเพื่อป้องกันและแก้ไข
       โดยล้อไปกับระบบการดำเนินงานทรัพยากรมนุษย์ได้ครบทั้ง 4 บทบาท   ตามแนวคิดของ Dave Urich  ซึ่งประกอบด้วย 
       การเป็น Strategic Partner นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องทำความเข้าใจกับธุรกิจขององค์การ  ทั้งในเรื่องของวิสัยทัศน์  พันธกิจ  ค่านิยมร่วม  และกลยุทธ์ธุรกิจ 
       ตลอดจนมีส่วนร่วมในการกำหนดจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค และโอกาส  เพื่อกำหนดแผนกลยุทธ์ธุรกิจในระยะสั้น และระยะยาว
       การเป็น Change Agent  หรือบทบาทของผู้นำการเปลี่ยนแปลง  ให้สอดรับกับการเคลื่อนตัวของกระแสสังคม   เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมปรับตัว 
       นักบริหารทรัพยกรมนุษย์  จึงต้องมีศาสตร์และศิลป์  ที่จะชี้ให้เห็นผลดี-ผลเสีย โอกาส  ที่จะชูธงเดินนำหน้าการเปลี่ยนแปลง
       การเป็น Employee Champion  นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความรู้ ทักษะ ความสามารถในวิชาชีพของตนเอง  เป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมบุคลากรทุกส่วนงาน   
       โดยเนื้อหายังเป็นการบูรณาการระหว่างงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) กับงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)  เพื่อให้เกิดแรงสนับสนุนต่อกัน
       การเป็น Administrative Expert  คือ  การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการบริหารจัดการงานประจำของงานทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิผล 
       เป็นการสร้างฐานอนาคตขององค์การให้เข้มแข็งที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก  ผ่านการสนับสนุนการติดตั้งเครื่องมือ  ระบบการบริหาร  และระบบปฏิบัติการใด ๆ ให้องค์การ
       ผู้เขียนได้กล่าวสรุปในตอนท้าย  ถึงความพยายามของหนังสือเล่มนี้  ที่มีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงระบบงานทรัพยากรมนุษย์ให้ดำเนินงานเป็นเนื้อเดียวกัน
       เสมือนกับการเต้นรำกันอย่างสนุกและต่อเนื่อง
       หากในงานเต้นรำที่ทุกคนกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกมีการเปิดเพลง-ปิดเพลงสลับกันไป  
       คนเต้นก็จะรู้สึกขาดตอนและไม่สนุก
       งานทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน  ควรทำงานให้มีจังหวะและท่วงทำนองที่สอดคล้องกัน
       ถึงแม้จะแบ่งแยกหน้าที่งาน  แต่ต้องไม่แบ่งแยกความรับผิดชอบ
       เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผสมผสานส่งลูก-รับลูกกันอย่างมีประสิทธิภาพ 
       และเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การทำงานอย่างมืออาชีพของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ไปยังทุกหน่วยงานในองค์การให้ได้เห็นอย่างชัดเจน
       ถือเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากเล่มหนึ่งสำหรับคนทำงานด้าน HR และทุก ๆ ท่านครับ
สุรศักดิ์  อัครอารีสุข
http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2009/05/2552.html

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ส่งเสริมให้หารายได้อื่น

       มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า  คุณไม่มีทางรู้จักคุณค่าของเงินอย่างแท้จริง  จนกว่าจะหามันได้ด้วยตัวเอง
       บทความนี้  เป็นเหมือนส่วนต่อขยายจากเรื่อง  การให้เงินค่าขนม  แก่ลูกของเรา
       หนังสือ  เลี้ยงลูกให้ใช้เงินเป็น  ของสองผู้แต่ง Adam Khoo  และ  Keon Chee  แห่งสำนักพิมพ์ WE LEARN  
       ได้กล่าวถึงแนวทาง การหารายได้อื่น  สำหรับเด็กนอกเหนือจาก  การให้เงินค่าขนม  แก่ลูกไว้อย่างน่าสนใจ
       นั่นคือ  การสอนลูกให้รู้จักหารายได้เพิ่มเติมด้วย  การหางานทำ  และ  การลงทุน 
       เริ่มต้นในเรื่องของ  การหารายได้จากการทำงาน  ผู้เขียนทั้งสองมองว่า  เราในฐานะพ่อแม่  ควรส่งเสริมให้ลูกออกไปหางานทำ
       เพราะผลที่ตามมา  จะทำให้ลูกของเราเห็นคุณค่าของเงิน  และเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า  เงิน  ไม่ได้งอกขึ้นมาเอง  เราจำเป็นต้องทำงานจึงจะได้มา
       ทั้งสองแนะนำว่า  เวลาที่เหมาะสม  ที่ลูกของเราจะเริ่มหาเงินเองได้  นั่นก็คือ  เมื่อลูกของเราเริ่มรู้สึกว่า  เงินค่าขนม  ที่เราให้เริ่มไม่พอใช้และไม่พอเก็บออม
       วิธีการที่ยอดเยี่ยม  ก็คือ  การที่ลูกของเราเริ่มหารายได้จาก งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ ในวันหยุด
       เพราะเป็นวิธีการสอนให้ลูกของเรารู้จักถึง  ความรับผิดชอบ  การนำเสนอตนเอง  และ  การบริหารเงินตนเอง  ที่ได้รับมา
       ผู้เขียนทั้งสองให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า  การที่จะส่งเสริมให้ลูกทำงานหารายได้อื่นนั้น... 
       พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมให้กับลูกของตน 
       เพราะจะทำให้เขาสามารถทำงานได้สำเร็จ  และสร้างความมั่นใจในตนเองแก่ตัวเขา  ผ่านการ  ฝึกฝนทำงานบ้าน  ตั้งแต่ยังเล็ก
       ในยามที่ลูกของเราสามารถเริ่มต้นหา งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ  ทำได้แล้วนั้น   
       ให้เราสอนเขาวางตัวอย่างสุภาพและนำเสนอตนเองให้น่าสนใจ   ด้วยการทำ Resume  หรือการทำนามบัตรแนะนำตัวอย่างย่อไว้พร้อมใช้งานเสมอ
       ซึ่งอาจบันทึกเก็บไว้ในบล็อกที่เขาได้จัดทำขึ้นไว้ใช้งานส่วนตัว  ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น   (ลองอ่านที่ลิ้งค์นี้ได้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2019/01/blog-post_16.html)
       ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องการทำงานพาร์ตไทม์  หากลูกของเราเลือกทำงานเป็น  ครูสอนพิเศษ 
       เราในฐานะพ่อแม่  ควรศึกษาให้รู้อย่างถ่องแท้ว่า  ครูสอนพิเศษที่ดีนั้นเป็นอย่างไร  
       เพื่อนำมาถ่ายทอดมุมมองนี้ให้แก่ลูกของเราใช้เป็นหลักในการทำงาน  เช่น  ครูสอนพิเศษที่ดีควรจะ.......
              สอนให้ลูกศิษย์ได้เรียนรู้  มิใช่การไปทำการบ้านให้...
              ต้องรู้เทคนิคในการสอน  เช่น  ทำให้ลูกศิษย์รู้ว่าตนเองถูกคาดหวังอะไร  ให้คำแนะนำลูกศิษย์อย่างตรงไปตรงมา  และหมั่นจดบันทึกการสอน
              ตั้งใจฟังลูกศิษย์  โดยการทำความเข้าใจการบ้านของเขา  ก่อนที่ครูจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ  ....อย่างนี้เป็นต้น
       สิ่งสำคัญที่สุด  เราจะต้องจับคู่ในเรื่องของ  ทักษะ  ความสนใจ  และพรสวรรค์  ของลูกของเราให้สอดคล้องกับงานที่เขาจะไปทำ  
       เพื่อที่เราจะได้ให้คำแนะนำแก่เขาได้อย่างมีทิศทาง
       ผลพลอยได้ที่จะตามมา  อาจจะทำให้เขาค้นพบว่า...  ในอนาคตเขาอยากจะทำอะไร  
       พร้อมทั้งได้เรียนรู้ว่าเงินทองไม่ได้หามาง่าย ๆ  ตัวเขาจะต้อง มีความพยายาม  มีทักษะในงานที่จะทำ  และมีความกระตือรือร้น  อย่างต่อเนื่อง
       การสอนลูกให้รู้จักหารายได้อื่นเพิ่มเติมในส่วนที่สอง  คือ  การหารายได้จาก  การลงทุน 
       ผู้เขียนได้กล่าวถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของการลงทุน  ก็คือ  เราควรที่จะนำเงินไปใช้ในแบบที่เกิดดอกออกผล
       เพราะการปล่อยเงินไว้เฉย ๆ จะทำให้มูลค่าของเงินลดลงจากอิทธิพลของเงินเฟ้อ 
       เราสามารถสอนเรื่องลงทุนให้กับลูกของเรา  ผ่านเครื่องมือการลงทุนที่มีอยู่มากมาย  
       อันได้แก่... หุ้นสามัญ  หุ้นกู้  ไปจนถึงกองทุนรวมดัชนี
       เหตุผลหนึ่ง  ก็เนื่องจากเป็นวิธีการลงทุนที่ง่ายที่สุด 
       เพราะสิ่งเหล่านี้  มีการซื้อขายกันผ่าน  ตลาดขนาดใหญ่  ที่คนเราทุกคนต่างรู้จักกันดีรองรับอยู่แล้ว  โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งหา  
       เช่น  ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย  ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์  ไปจนถึงตลาดหลักทรัพย์ในประเทศยักใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา  เป็นต้น
       อีกเหตุผลหนึ่งนั้น  ก็เพราะในตลาดเหล่านี้  ต่างมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ  ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับตัวเด็ก ๆ  
       เช่น...ของเล่น  เกมส์คอมพิวเตอร์  ตุ๊กตาบาร์บี้  สวนสนุก  ร้านกาแฟ  ร้านอาหารแมคโดนัลด์  โทรศัพท์มือถือ  อุปกรณ์กีฬา  etc. ....
       ทั้งสองมองว่า  สิ่งที่เป็นความท้าทายสำหรับพ่อแม่   ก็คือ  การโน้มน้าวให้ลูกเชื่อว่า  เขาควรนำเงินไปลงทุน  มากกว่าการนำเงินไปใช้จ่ายที่น่าจะสนุกกว่า
       และต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้เขาได้รับทราบ  ถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง  หุ้นสามัญ  กับ  หุ้นกู้   ว่า....
       เมื่อเราซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้  ก็เท่ากับเรา  ให้บริษัทกู้ยืมเงิน  นั่นเอง  
       ขณะเดียวกันเราก็ต้องอธิบายให้ได้ว่า....   
              ผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละอย่าง  คืออะไร ?  
              การลงทุนใดที่เราต้องรับความเสี่ยงมากกว่ากัน ?  
              การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนแก่เรามากกว่า ? 
              และ....ในระยะยาวสิ่งใดที่ให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ?
       ผู้เขียนทั้งสองได้ให้ข้อคิดส่งท้าย  ถึงความสำเร็จที่เราจะส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จในการลงทุน  ก็คือ
       เราสอนอะไรเราก็ต้องทำอย่างนั้น  มีคำกล่าวที่ว่า  เราไม่ต้องพูดเรื่องการลงทุนกับเด็กมากมายนัก  เพราะเด็กฉลาดกว่าที่เราคิด  เขาจะสังเกตตัวเราจากพฤติกรรมที่เราทำ 
       เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ  เพราะการลงทุนเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต  เราต้องหมั่นศึกษาหาประเด็นใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูก   เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
       เราต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย  ทั้งสองเตือนว่า  เราไม่ควรที่จะนำคำศัพท์ที่ยาก ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูกหรอก  ....เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คือ  เขาจะซื้อได้อย่างไร  และ  ขณะนี้การลงทุนของเขามีผลตอบแทนเท่าไรแล้ว
       การสอนให้ลูกทำงานพาร์ตไทม์และการฝึกให้ลูกรู้จักลงทุนตั้งแต่ยังเล็กนั้น   จะทำให้เขามีรายได้พิเศษ  และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ล้ำค่าในอนาคต 
       ให้เกิดขึ้นกับตัวเขาและแก่ครอบครัวของเรา

สุรศักดิ์  อัครอารีสุข

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

จดบันทึกลงบล็อก

       เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates)  สองผู้แต่งหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories  แปลโดย วิชิตรา  สุนทรพิพิธ  ได้กล่าวไว้ตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ว่า..
       ...หากไม่มีทฤษฎีการจัดการและไอเดียที่บอกคุณถึงการปฏิบัติ  คุณก็เหมือนช่างไม้ที่มีค้อนเพียงอันเดียวในกล่องเครื่องมือ โดยมีผลลัพธ์ของทุกปัญหาเป็นเหมือนตะปู...
       ซึ่งทั้งสองมองว่า  การที่เราจะเป็นนักบริหารที่มีความสามารถสูง  จนกลายเป็นที่จับตาขององค์กรได้นั้น  การมีความรู้พื้นฐานในทฤษฎีด้านการจัดการต่าง ๆ นั้น  ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตัวเรา 
       แต่สิ่งที่เราต้องสร้างเพิ่มเติม  คือ ประสบการณ์ในการนำทฤษฎีต่าง ๆ  มาปรับใช้งานด้วยตนเอง  ฝึกฝนทักษะการบริหารในทุกโอกาส  พร้อมทั้งลองทำตามทฤษฎีทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน 
       เปรียบได้ดั่งนักดนตรีแจ๊สที่เก่งกาจ  ซึ่งสามารถเล่นตามท่วงทำนองพื้นฐานได้อย่างไม่มีผิดพลาด  
       แต่การจะเป็นนักดนตรีแจ๊สที่ยิ่งใหญ่  นักดนตรีแจ๊สท่านนั้นจะต้องผ่านการเรียนรู้ที่จะแสดงสดต่อหน้าผู้ชม
       ผู้เขียนทั้งสอง  ยังไม่แนะนำให้เราใช้เพียงการสังเกตนักบริหารที่เก่งกาจแล้วนำมาทำตามทั้งหมด  เพราะนั่นจะนำพาให้ตัวเราก้าวไปสู่ความล้มเหลว 
       เนื่องจากขาดลักษณะเฉพาะอย่างที่เราเป็น  เราจึงต้องพัฒนาจนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา 
       ...สิ่งที่เป็นของตัวเอง  คือสิ่งที่ถูกต้อง...  
       แล้วเราจะพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา ได้อย่างไร 
       ทั้งสองให้คำแนะนำว่าเราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย
       ...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน   ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ   และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..  
       เมื่อได้ทำทั้งสามประการนี้อย่างต่อเนื่องนานวันเข้า  ก็จะค่อย ๆ พัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา  ให้เกิดขึ้นมา
       ยิ่งเรามีความรู้เกี่ยวกับ สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา  และสไตล์ดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นได้มากเท่าไร  
       ตัวเราก็จะมีประสิทธิภาพในการบริหารมากขึ้นเท่านั้น
       แล้วเรา  จะสะสมความรู้  เหล่านี้ได้อย่างไร
       แมคกราท และ เบทส์  ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าเราจำเป็นต้อง  จดบันทึก  อย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การบริหารของตัวเราเก็บไว้  เพราะสามารถใช้เป็นสิ่งสะท้อนของตัวเราได้
       เช่น...  เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ?  
       ทำไมจึงเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ?  
       เราสามารถทำอะไรให้แตกต่างจากนี้ได้หรือไม่ ?  
       ทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในสถานการณ์นี้แต่ล้มเหลวในสถานการณ์อื่น ? ... ฯลฯ
       การจดบันทึกเก็บไว้  เมื่อเราได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จะทำให้เราได้เรียนรู้จากสิ่งสะท้อนเหล่านี้  
       และยังสามารถนำมาใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานได้ในอนาคต
       การจดบันทึกหรือเขียนโน้ตสิ่งสะท้อนเล็ก ๆ นี้  จะช่วยให้เราจดจำฝังใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา  
       มันจะผสมผสานอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว  สิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมกับอารมณ์  ความรู้สึก  ความเชื่อ และทํศนคติ  จนกลายเป็นแหล่งสะสมความรู้โดยปริยาย
       เมื่อถึงคราวจำเป็น  ความรู้เหล่านี้จะคอยบอกตัวเราในการลงมือปฏิบัติเรื่องใด ๆ รวมถึงการตัดสินใจของตัวเรา  จนเกิดเป็น  สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง 
       เหมือนกับนักดนตรี  ที่สามารถเล่นดนตรีได้เข้าขากับผู้อื่น  โดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก่อน
       ในยามที่เราได้รับรู้ข้อมูลจากแหล่งอื่น  แล้วเรารู้ได้ในทันทีทันใดว่าความเห็นเหล่านั้น  ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้  แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม  
       สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนทั้งสองเรียกว่า  ความรู้ที่เป็นไปโดยปริยาย  ซึ่งคนรุ่นก่อนเรียกว่า  สัญชาตญาณ หรือ ลางสังหรณ์ (Gut instinct)
       แล้วเรา  จะจดบันทึกอย่างไร  ให้สะดวกในการเรียกใช้งานสม่ำเสมอ
       โยอิจิ อิโนอุเอะ (Yoichi Inoue) ผู้แต่งหนังสือในชื่อภาษาไทย  ว่างงาน แต่ไม่ว่างเงิน (2561)  ให้คำแนะนำว่า...
       ให้เราเขียน บล็อก  ขึ้นมาเป็นของตัวเราครับ  
       เช่นเดียวกับที่ตัวผม (แอดบล็อกนี้) กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่นั่นเองครับ
       ตัว โยอิจิ ได้กล่าวว่า  การเขียนบล็อกนั้น  จะทำให้เรามี  สินทรัพย์  ทางความรู้ของตัวเราเอง  
       ที่เราสามารถ หยิบยืมหรือนำขึ้นมาใช้งาน  ได้ตลอดกาล  
       เราสามารถที่จะหยิบมาใช้งานหรือเข้ามาค้นคว้าเพิ่มเติมเมื่อไรก็ได้  
       และยังสามารถเผยแพร่เป็นข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้
       แม้ในช่วงแรก ๆ  เนื้อหาที่เขียนไว้อาจจะยังไม่ดีนัก  เนื่องจากเรายังไม่ตกผลึกทางความคิดมากพอ   
       แต่เราก็สามารถที่จะกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
       หากเราพัฒนาเนื้อหาภายในบล็อกอย่างต่อเนื่อง  โดยมุ่งเน้นพัฒนาเนื้อหาตามความเชี่ยวชาญของตัวเรา  
       ในอนาคตเรายังสามารถนำเนื้อหาภายในบล็อกมาใช้ในการ จัดสัมมนา  โดยอ้างอิงเนื้อหาจากบล็อกได้เองอีกด้วยครับ
       การสร้าง สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง ยังสามารถนำมาปรับใช้กับวิธีการลงทุนในหุ้น  หรือการบริหารเงินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
       เพราะในการลงทุนเราไม่อาจยืนยันได้ว่า  การนำทฤษฎีการลงทุนแบบใดแบบหนึ่งมาใช้งานแล้วจะเหมาะสมกับตัวเราทั้งหมด
       หรือหากทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะประสบความสำเร็จตามได้
       เราจำเป็นต้องสร้างทางหรือ สไตล์  ของเราขึ้นมาเอง  โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 3 ประการข้างต้นครับ 
       โดยที่เรายังสามารถนำ  ความรู้ทางการเงิน หรือประสบการณ์ในการลงทุน  ของตัวเราเอง  มาจดบันทึกเก็บไว้ในบล็อก
       ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวเราทั้งสองทางครับ
สุรศักดิ์  อัครอารีสุข

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย

       ในโลกแห่งการบริหารจัดการองค์กร สถิติและข้อมูล  นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรสมัยใหม่
       ...หากองค์กรใดไม่มีการจัดเก็บหรือรวบรวมไว้  ก็อาจจะทำให้องค์กรนั้นสูญเสียอำนาจในการบริหารองค์กรไปได้  (ชัชวลิต ศรวารี, คนกับองค์กร.)    
       หากท่านใดชอบชมภาพยนตร์  อยากแนะนำให้ลองหาเรื่อง Draft Day (2014)  ซึ่งนำแสดงโดย เควิน คอสเนอร์  ดารารุ่นเก๋ามาชมกันครับ   
       เนื้อหาของภาพยนตร์พูดถึงเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถึงช่วงเวลาการ Draft หรือการเลือกตัวนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลหน้าใหม่ (Rookie)  ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในประเทศสหรัฐอเมริกา   จากลีกในระดับมหาวิทยาลัย หรือ NCAA  เข้าสู่ทีมอาชีพในลีก NFL
       หลาย ๆ ท่าน  น่าจะตระหนักถึงความสำคัญของสถิติและข้อมูลกันมากยิ่งขึ้น  ภายหลังที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันแล้วอย่างแน่นอน  
       รวมถึงเทคนิคหรือวิธีการที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ดังกล่าว  ที่ได้มีการนำมาข้อมูลมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
       เพราะตลอดเวลาที่เราได้เห็นในภาพยนตร์  เราจะเห็นตัวเอกของเรื่องที่ต้องมีการรวบรวม  สถิติและข้อมูล  ของนักกีฬาจากทุกกลุ่ม  
       ทั้งจากกลุ่มนักกีฬาที่มีอยู่เดิมในสังกัด  จากกลุ่มนักกีฬาหน้าใหม่  จากผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้าม  ไปจนถึงจากสตาฟท์ทีมงานของตนเอง  
       รวมถึงยังต้องมีการต่อรอง  การบลั๊ฟ  การเปลี่ยนแผน และอื่น ๆ อีกมากมาย  ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของ  การรวบรวมข้อมูล  เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง
       เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้  จะส่งผลต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของทีมไปจนจบฤดูกาล  
       และในบางทีมอาจต้องดูแลกันไปจนครบสัญญากันเลยทีเดียว
       เมื่อได้รับชมจนจบแล้ว  ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจถึงความเป็นมหาอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกยุคสมัยปัจจุบันแต่อย่างใด 
       เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกให้เห็นผ่านการชมภาพยนตร์ก็คือ  ความเป็นเลิศในงานด้านการข่าว  ของคนในประเทศเขาที่ฝังรากลึกไปในทุกวงการจริง ๆ
       ประเด็นที่ได้นำเสนอมาข้างต้น ...  
       เราสามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการลงทุนของตัวเรา  เช่น  การลงทุนในหุ้น  ได้อย่างไร
       หลายปีที่ผ่านมาในการลงทุนของตนเอง  ผมได้ยินคำว่า  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  บ่อยครั้ง  จึงได้ลองติดตามศึกษาดู  
       ก็พบว่าเป็นคำที่ปรากฎอยู่ในผลงานของนักลงทุนระดับตำนานของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์   
       จากที่ได้ติดตามอ่านประวัติของวอร์เรน  บัฟเฟตต์   ทำให้ทราบว่า  นี่คือ  หัวใจสำคัญ  ที่ทำให้เขายังคงเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
       เมื่อได้ลองตามศึกษาเพิ่มเติมดู  ตัวผมเองก็ยังไม่พบ (ซึ่งอาจจะมี แต่ผมยังไม่เจอ) ถึงแนวทางที่ชัดเจนว่า  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  มีหน้าตาเป็นอย่างไร

       ในมุมมองผม  เราจึงต้อง  กำหนดหรือสร้างขึ้นมา  ด้วยตัวของเราเองครับ 
       แล้วเราจะกำหนด  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย  อย่างไร
       ปกติผมใช้การเก็บรวบรวม สถิติและข้อมูล  ของราคาหุ้นที่ผมสนใจด้วยตนเอง  
       ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นขนาดใหญ่  และมีปันผลสม่ำเสมอครับ
       นอกเหนือจากการศึกษา งบดุล  และ  การติดตามข่าวสาร  ของหุ้นแต่ละตัวที่เราสนใจ 
       โดยใช้โปรแกรมเอ็กเซลแบบง่าย ๆ ครับ...
       จริงอยู่ที่ในโปรแกรมสตรีมมิ่งที่เราใช้ในการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน  ก็มีข้อมูลเหล่านี้แสดงผลเป็นกราฟราคา  
       แต่ผมพบจากประสบการณ์ว่า  การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อย่างมีวินัยด้วยตนเอง  ทำให้เราตัดสินใจได้ดีกว่ามาก
       ".... คุณต้องทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์  ทำให้มันเป็นตัวเลข  มันจึงจะวัดได้   เมื่อวัดได้ก็จะทำให้เราเข้าใจ..."  
       เป็นคำกล่าวที่ผมจำขึ้นใจมาจากนักคณิตศาสตร์ระดับโลกท่านหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
       เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลออกมาแล้ว  เราก็สามารถที่จะ  จัดกระทำ  กับข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง
       พูดให้ข้าใจง่าย  เราเป็นผู้ควบคุมข้อมูล  นั่นเองครับ 
       เมื่อได้รวบรวมและประมวลข้อมูลด้วยตนเอง  ก็ทำให้ตัวเราสามารถที่จะ  ตั้งคำถาม  กับตัวเองได้ว่า 
       ค่าเฉลี่ยราคา  สูงสุด - ต่ำสุด  ของหุ้นที่เราศึกษาแล้วนั้น  มีราคาอยู่ที่เท่าไร
       ภาพใน 1 ปี  จริง ๆ แล้ว  เขาซื้อ-ขาย  กันทั้งหมดเป็นจำนวนกี่วัน... 250 วัน  หรือ 300 วัน ...
       จากจำนวนวันทั้งหมด  ราคาเฉลี่ยกลาง  ที่เราเห็นควรจะใช้ราคาตรงวันใดมาเป็นฐานคิด  (หรือเรียกอีกอย่าง คือ เป็นราคาที่เราใช้เป็น สมมุติฐาน)  ... 
       ควรเป็นวันที่ 100  หรือวันที่ 125  หรือ.....
       จาก  ราคาเฉลี่ยกลาง  ที่เราคิด  เราควรให้  ส่วนลด (เข้าซื้อสะสม)  หรือ คิดส่วนเพิ่ม (ขายทำกำไร)  สักกี่เปอร์เซ็นต์ดี 
       ควรจะเป็น  ...  7%  หรือ  11%  หรือ .......ทั้งในการซื้อ  และการขาย ดีหรือไม่
       ...เคล็ดลับของความร่ำรวย  ก็เหมือนกับเคล็ดลับของการเล่นตลก... "จังหวะ"...  
       เป็นคำกล่าวที่ผมชอบมาก  ซึ่งได้รับชมมาจากภาพยนตร์เรื่อง A good year ( 2006)..
       แล้วเราควรจะกำหนด  จังหวะ  ในการเข้า ซื้อ-ขาย อย่างไร ... 
       ในระยะ 1 ปี  เราต้องรอให้ตลาดปรับตัวลงสัก 10 - 15 % ก่อนดีไหม  หลังจากไปถึงจุดที่เราคิดว่าสูงสุดแล้วของแต่ละปี  แล้วเราจึงค่อยเข้าซื้อ...
       ในการเข้าซื้อ เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนการปันผลสัก 60 วันทำการดีไหม ...
       หรือเราควรจะทยอยซื้อทีละ 100 หุ้น  แล้วเวลาขายเราขายทิ้งทั้งหมดทีเดียว ...
       เราควรใช้ช่วงเวลาหลังการปันผลสัก 60 วันทำการดีหรือไม่  ในการขายหุ้นออก .. 
       
       หรือเราจะไม่ขายบ่อยครั้ง  แต่ใช้การบริหารเป็นภาพรวมทั้งพอร์ตดีไหม  โดยใช้การคิดแบบร้อยละเป็นตัวประเมินในการบริหารพอร์ตของตัวเรา ...
       ทั้งหมดนี้   แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรามีการรวบรวม สถิติและข้อมูล  อย่างต่อเนื่องและมีวินัย
       เราก็จะเป็นผู้ที่  ควบคุมข้อมูล  จนสามารถนำมาจัดกระทำกับในแบบที่เราต้องการ  หรือนำข้อมูลมาบริหารให้ตัวเราได้พิจารณาอย่างเป็นระบบ  
       จะทำให้เราเห็นแนวโน้มการตัดสินใจหรือจุดตัดสินใจที่เหมาะสมกับตัวเรา   อันจะทำให้ การลงทุนของตัวเรา  มีความยั่งยืน
       นี่คือ  ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ในมุมมองของผมครับ
สุรศักดิ์  อัครอารีสุข