หนังสือ "บูรณาการงานทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มสมรรถนะองค์การ หรือ Integrated HR, Strengthening Corporate Competency" เขียนโดย สุรเชษฐ หฤษฎ์ภูมิ. (2556)
เป็นหนึ่งในหนังสือด้าน HR หลาย ๆ เล่ม ที่ผมค่อนข้างชอบมากเลยทีเดียว
ตัวหนังสือนำเสนอให้เห็นถึงภาพรวมของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างน่าสนใจ
สำหรับใช้เป็นแนวทางแก่นักบริหารทรัพยากรมนุษย์ให้สามารถนำมาปรับใช้งานได้เป็นอย่างดี
หากเรามองในเรื่องแนวทางการพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา จากหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน
หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories ซึ่งแต่งโดย เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates)
ที่กล่าวว่า สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา เราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย....
คือ ...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..
แนวทางหรือที่มาของหนังสือเล่มนี้ ก็ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ไม่แตกต่างกันนัก
เริ่มต้นจาก ตัวผู้เขียนเองมีความต้องการเพิ่มพูนเทคนิคการบริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ใหม่อย่างต่อเนื่อง
จึงได้ค้นคว้าแนวคิดใหม่ ๆ ในงานด้านนี้อย่างสม่ำเสมอ
ผ่านการปะติดปะต่อความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่มักแยกส่วนออกจากกัน
นำมาผสมผสานกับประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับจากการทำงานด้านการจัดฝึกอบรมของตนเอง
รวมถึงการได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้รู้อีกจำนวนมาก
จนสามารถกลั่นกรองและถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือได้อย่างน่าอ่านและน่าติดตาม
ซึ่งจากประสบการณ์ตรงของตัวผู้เขียนเอง
พบว่า องค์การส่วนใหญ่ถึงจะให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์
แต่ผลงานของหน่วยงานทรัพยากรมนุษย์ ก็มักจะ ไม่โดดเด่นมากนัก ในสายตาของผู้บริหารระดับสูง
ถึงแม้ผู้บริหารที่ดูแลงานด้านทรัพยากรมนุษย์ จะได้รับโอกาสเข้าร่วมประชุมในระดับบอร์ดบริหารขององค์การอย่างสม่ำเสมอ
หรือผู้รับผิดชอบในงานทรัพยากรมนุษย์ มีความพยายามในการการนำ เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่ เข้ามาสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์การ
ไปจนถึง การสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ให้แก่บุคลากรขององค์การอย่างต่อเนื่องอยู่ก็ตาม
ผู้เขียนมองว่าจากผลงานดังกล่าวก็อาจจะยังอยู่เพียงแค่ในระดับ ที่พอจะทำให้ผู้บริหารระดับสูง เพียงยอมรับได้ เท่านั้น
แล้วงานด้านทรัพยากรมนุษย์ จะสร้างคุณค่าและความโดดเด่น ในองค์การให้กับตนเองได้อย่างไร
ประเด็นนี้ ผู้เขียนมองว่าคุณค่าและความโดดเด่นดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เครื่องมือหรือวิทยาการสมัยใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว
เนื่องจากผู้เขียนมองว่าเครื่องมือเหล่านี้ เป็นการใช้เพื่อเพิ่มประสิทธภาพการทำงานขององค์การ ให้มากขึ้นเท่านั้น
แต่อยู่ที่ การสร้างและปรับเปลี่ยนทุกระบบอย่างรอบด้าน ให้สอดรับกันแบบบูรณาการ
โดยมี คน เป็นศูนย์กลาง
และให้ใช้ ระบบทรัพยากรมนุษย์ เป็นตัวเชื่อมโยงระบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ผู้เขียนเน้นย้ำว่า ก่อนที่จะเชื่อมโยงระบบทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดบูรณาการเข้าด้วยกันนั้น
นักทรัพยากรมนุษย์ ต้องศึกษาทำความเข้าใจต่อรากฐานภารกิจขององค์การ จนเข้าใจอย่างดี
แล้วจึงนำมาใช้เป็นแนวทางวิเคราะห์เพื่อวางแผนดำเนินการเป็นส่วน ๆ
เนื้อหาของหนังสือมุ่งเน้นไปที่การบูรณาการ 3 ส่วนงาน คือ การบริหารโครงสร้างเงินเดือน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และงานด้านพนักงานสัมพันธ์ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 6 บท
ตลอดทั้ง 6 บท ผู้เขียนได้นำ กรอบหรือเฟรมเวิร์ก Urich Model ของ Dave Urich มาใช้อธิบายร่วมในลักษณะสอดแทรกไปตามแต่ละบท
เป็นการนำ ทฤษฎีด้านทรัพยากรมนุษย์ มาประยุกต์ใช้กับการทำงานของผู้เขียนเอง
โดยนำเสนอเนื้อหาได้อย่างกระชับและมีทิศทาง
ไม่ว่าในเรื่องของการเสริมบทบาทนักทรัพยากรมนุษย์ในฐานะนักยุทธศาสตร์ด้านคนและการจัดทำแผนปฏิบัติการ
หรือการเชื่อมโยงเครื่องมือและข้อมูลทรัพยากรมนุษย์เข้าด้วยกัน
เพื่อเสริมประสิทธิภาพด้านการจัดการ และประสิทธิผลในการดำเนินงานที่เกี่ยวกับคน
ให้สอดคล้องกับทิศทางขององค์การแบบบูรณาการ
ไปจนถึง แนวทางการพัฒนาศักยภาพของคนในองค์การให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจขององค์การ
รวมถึงการค้นหาสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงขององค์การ
พร้อมทั้งนำเสนอเครื่องมือที่ใช้ในการจับสัญญาณเพื่อป้องกันและแก้ไข
โดยล้อไปกับระบบการดำเนินงานทรัพยากรมนุษย์ได้ครบทั้ง 4 บทบาท ตามแนวคิดของ Dave Urich ซึ่งประกอบด้วย
การเป็น Strategic Partner นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องทำความเข้าใจกับธุรกิจขององค์การ ทั้งในเรื่องของวิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยมร่วม และกลยุทธ์ธุรกิจ
ตลอดจนมีส่วนร่วมในการกำหนดจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค และโอกาส เพื่อกำหนดแผนกลยุทธ์ธุรกิจในระยะสั้น และระยะยาว
การเป็น Change Agent หรือบทบาทของผู้นำการเปลี่ยนแปลง ให้สอดรับกับการเคลื่อนตัวของกระแสสังคม เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักไม่ยอมปรับตัว
นักบริหารทรัพยกรมนุษย์ จึงต้องมีศาสตร์และศิลป์ ที่จะชี้ให้เห็นผลดี-ผลเสีย โอกาส ที่จะชูธงเดินนำหน้าการเปลี่ยนแปลง
การเป็น Employee Champion นั่นคือ นักทรัพยากรมนุษย์ต้องมีความรู้ ทักษะ ความสามารถในวิชาชีพของตนเอง เป็นผู้สนับสนุนและส่งเสริมบุคลากรทุกส่วนงาน
โดยเนื้อหายังเป็นการบูรณาการระหว่างงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) กับงานพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) เพื่อให้เกิดแรงสนับสนุนต่อกัน
การเป็น Administrative Expert คือ การเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการบริหารจัดการงานประจำของงานทรัพยากรมนุษย์ให้เกิดประสิทธิผล
เป็นการสร้างฐานอนาคตขององค์การให้เข้มแข็งที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก ผ่านการสนับสนุนการติดตั้งเครื่องมือ ระบบการบริหาร และระบบปฏิบัติการใด ๆ ให้องค์การ
ผู้เขียนได้กล่าวสรุปในตอนท้าย ถึงความพยายามของหนังสือเล่มนี้ ที่มีความตั้งใจที่จะเชื่อมโยงระบบงานทรัพยากรมนุษย์ให้ดำเนินงานเป็นเนื้อเดียวกัน
เสมือนกับการเต้นรำกันอย่างสนุกและต่อเนื่อง
หากในงานเต้นรำที่ทุกคนกำลังเต้นรำกันอย่างสนุกมีการเปิดเพลง-ปิดเพลงสลับกันไป
คนเต้นก็จะรู้สึกขาดตอนและไม่สนุก
งานทรัพยากรมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ควรทำงานให้มีจังหวะและท่วงทำนองที่สอดคล้องกัน
ถึงแม้จะแบ่งแยกหน้าที่งาน แต่ต้องไม่แบ่งแยกความรับผิดชอบ
เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ผสมผสานส่งลูก-รับลูกกันอย่างมีประสิทธิภาพ
และเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์การทำงานอย่างมืออาชีพของงานด้านทรัพยากรมนุษย์ไปยังทุกหน่วยงานในองค์การให้ได้เห็นอย่างชัดเจน
ถือเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากเล่มหนึ่งสำหรับคนทำงานด้าน HR และทุก ๆ ท่านครับ
surasak-akkaraareesuk
บล็อกนี้ จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอประสบการณ์การทำงานในงานที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการบริหารจัดการองค์กรและงานด้านการบริหารโครงการของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปมีส่วนร่วม และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดเห็น รวมทั้งบทความอื่น ๆ ที่ผู้เขียนสนใจและนำมาโพสต์ไว้ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงานและผู้ที่เห็นว่าน่าสนใจ พอที่จะนำไปปรับใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง
วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ส่งเสริมให้หารายได้อื่น
มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า คุณไม่มีทางรู้จักคุณค่าของเงินอย่างแท้จริง จนกว่าจะหามันได้ด้วยตัวเอง
บทความนี้ เป็นเหมือนส่วนต่อขยายจากเรื่อง การให้เงินค่าขนม แก่ลูกของเรา
หนังสือ เลี้ยงลูกให้ใช้เงินเป็น ของสองผู้แต่ง Adam Khoo และ Keon Chee แห่งสำนักพิมพ์ WE LEARN
ได้กล่าวถึงแนวทาง การหารายได้อื่น สำหรับเด็กนอกเหนือจาก การให้เงินค่าขนม แก่ลูกไว้อย่างน่าสนใจ
นั่นคือ การสอนลูกให้รู้จักหารายได้เพิ่มเติมด้วย การหางานทำ และ การลงทุน
เริ่มต้นในเรื่องของ การหารายได้จากการทำงาน ผู้เขียนทั้งสองมองว่า เราในฐานะพ่อแม่ ควรส่งเสริมให้ลูกออกไปหางานทำ
เพราะผลที่ตามมา จะทำให้ลูกของเราเห็นคุณค่าของเงิน และเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า เงิน ไม่ได้งอกขึ้นมาเอง เราจำเป็นต้องทำงานจึงจะได้มา
ทั้งสองแนะนำว่า เวลาที่เหมาะสม ที่ลูกของเราจะเริ่มหาเงินเองได้ นั่นก็คือ เมื่อลูกของเราเริ่มรู้สึกว่า เงินค่าขนม ที่เราให้เริ่มไม่พอใช้และไม่พอเก็บออม
วิธีการที่ยอดเยี่ยม ก็คือ การที่ลูกของเราเริ่มหารายได้จาก งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ ในวันหยุด
เพราะเป็นวิธีการสอนให้ลูกของเรารู้จักถึง ความรับผิดชอบ การนำเสนอตนเอง และ การบริหารเงินตนเอง ที่ได้รับมา
ผู้เขียนทั้งสองให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การที่จะส่งเสริมให้ลูกทำงานหารายได้อื่นนั้น...
พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมให้กับลูกของตน
เพราะจะทำให้เขาสามารถทำงานได้สำเร็จ และสร้างความมั่นใจในตนเองแก่ตัวเขา ผ่านการ ฝึกฝนทำงานบ้าน ตั้งแต่ยังเล็ก
ในยามที่ลูกของเราสามารถเริ่มต้นหา งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ ทำได้แล้วนั้น
ให้เราสอนเขาวางตัวอย่างสุภาพและนำเสนอตนเองให้น่าสนใจ ด้วยการทำ Resume หรือการทำนามบัตรแนะนำตัวอย่างย่อไว้พร้อมใช้งานเสมอ
ซึ่งอาจบันทึกเก็บไว้ในบล็อกที่เขาได้จัดทำขึ้นไว้ใช้งานส่วนตัว ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ลองอ่านที่ลิ้งค์นี้ได้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2019/01/blog-post_16.html)
ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องการทำงานพาร์ตไทม์ หากลูกของเราเลือกทำงานเป็น ครูสอนพิเศษ
เราในฐานะพ่อแม่ ควรศึกษาให้รู้อย่างถ่องแท้ว่า ครูสอนพิเศษที่ดีนั้นเป็นอย่างไร
เพื่อนำมาถ่ายทอดมุมมองนี้ให้แก่ลูกของเราใช้เป็นหลักในการทำงาน เช่น ครูสอนพิเศษที่ดีควรจะ.......
สอนให้ลูกศิษย์ได้เรียนรู้ มิใช่การไปทำการบ้านให้...
ต้องรู้เทคนิคในการสอน เช่น ทำให้ลูกศิษย์รู้ว่าตนเองถูกคาดหวังอะไร ให้คำแนะนำลูกศิษย์อย่างตรงไปตรงมา และหมั่นจดบันทึกการสอน
ตั้งใจฟังลูกศิษย์ โดยการทำความเข้าใจการบ้านของเขา ก่อนที่ครูจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ....อย่างนี้เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุด เราจะต้องจับคู่ในเรื่องของ ทักษะ ความสนใจ และพรสวรรค์ ของลูกของเราให้สอดคล้องกับงานที่เขาจะไปทำ
เพื่อที่เราจะได้ให้คำแนะนำแก่เขาได้อย่างมีทิศทาง
ผลพลอยได้ที่จะตามมา อาจจะทำให้เขาค้นพบว่า... ในอนาคตเขาอยากจะทำอะไร
พร้อมทั้งได้เรียนรู้ว่าเงินทองไม่ได้หามาง่าย ๆ ตัวเขาจะต้อง มีความพยายาม มีทักษะในงานที่จะทำ และมีความกระตือรือร้น อย่างต่อเนื่อง
การสอนลูกให้รู้จักหารายได้อื่นเพิ่มเติมในส่วนที่สอง คือ การหารายได้จาก การลงทุน
ผู้เขียนได้กล่าวถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของการลงทุน ก็คือ เราควรที่จะนำเงินไปใช้ในแบบที่เกิดดอกออกผล
เพราะการปล่อยเงินไว้เฉย ๆ จะทำให้มูลค่าของเงินลดลงจากอิทธิพลของเงินเฟ้อ
เราสามารถสอนเรื่องลงทุนให้กับลูกของเรา ผ่านเครื่องมือการลงทุนที่มีอยู่มากมาย
อันได้แก่... หุ้นสามัญ หุ้นกู้ ไปจนถึงกองทุนรวมดัชนี
เหตุผลหนึ่ง ก็เนื่องจากเป็นวิธีการลงทุนที่ง่ายที่สุด
เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการซื้อขายกันผ่าน ตลาดขนาดใหญ่ ที่คนเราทุกคนต่างรู้จักกันดีรองรับอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งหา
เช่น ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ ไปจนถึงตลาดหลักทรัพย์ในประเทศยักใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
อีกเหตุผลหนึ่งนั้น ก็เพราะในตลาดเหล่านี้ ต่างมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับตัวเด็ก ๆ
เช่น...ของเล่น เกมส์คอมพิวเตอร์ ตุ๊กตาบาร์บี้ สวนสนุก ร้านกาแฟ ร้านอาหารแมคโดนัลด์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์กีฬา etc. ....
ทั้งสองมองว่า สิ่งที่เป็นความท้าทายสำหรับพ่อแม่ ก็คือ การโน้มน้าวให้ลูกเชื่อว่า เขาควรนำเงินไปลงทุน มากกว่าการนำเงินไปใช้จ่ายที่น่าจะสนุกกว่า
และต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้เขาได้รับทราบ ถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง หุ้นสามัญ กับ หุ้นกู้ ว่า....
เมื่อเราซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้ ก็เท่ากับเรา ให้บริษัทกู้ยืมเงิน นั่นเอง
ขณะเดียวกันเราก็ต้องอธิบายให้ได้ว่า....
ผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละอย่าง คืออะไร ?
การลงทุนใดที่เราต้องรับความเสี่ยงมากกว่ากัน ?
การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนแก่เรามากกว่า ?
และ....ในระยะยาวสิ่งใดที่ให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ?
ผู้เขียนทั้งสองได้ให้ข้อคิดส่งท้าย ถึงความสำเร็จที่เราจะส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จในการลงทุน ก็คือ
เราสอนอะไรเราก็ต้องทำอย่างนั้น มีคำกล่าวที่ว่า เราไม่ต้องพูดเรื่องการลงทุนกับเด็กมากมายนัก เพราะเด็กฉลาดกว่าที่เราคิด เขาจะสังเกตตัวเราจากพฤติกรรมที่เราทำ
เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะการลงทุนเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราต้องหมั่นศึกษาหาประเด็นใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
เราต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย ทั้งสองเตือนว่า เราไม่ควรที่จะนำคำศัพท์ที่ยาก ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูกหรอก ....เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คือ เขาจะซื้อได้อย่างไร และ ขณะนี้การลงทุนของเขามีผลตอบแทนเท่าไรแล้ว
การสอนให้ลูกทำงานพาร์ตไทม์และการฝึกให้ลูกรู้จักลงทุนตั้งแต่ยังเล็กนั้น จะทำให้เขามีรายได้พิเศษ และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ล้ำค่าในอนาคต
ให้เกิดขึ้นกับตัวเขาและแก่ครอบครัวของเรา
บทความนี้ เป็นเหมือนส่วนต่อขยายจากเรื่อง การให้เงินค่าขนม แก่ลูกของเรา
หนังสือ เลี้ยงลูกให้ใช้เงินเป็น ของสองผู้แต่ง Adam Khoo และ Keon Chee แห่งสำนักพิมพ์ WE LEARN
ได้กล่าวถึงแนวทาง การหารายได้อื่น สำหรับเด็กนอกเหนือจาก การให้เงินค่าขนม แก่ลูกไว้อย่างน่าสนใจ
นั่นคือ การสอนลูกให้รู้จักหารายได้เพิ่มเติมด้วย การหางานทำ และ การลงทุน
เริ่มต้นในเรื่องของ การหารายได้จากการทำงาน ผู้เขียนทั้งสองมองว่า เราในฐานะพ่อแม่ ควรส่งเสริมให้ลูกออกไปหางานทำ
เพราะผลที่ตามมา จะทำให้ลูกของเราเห็นคุณค่าของเงิน และเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า เงิน ไม่ได้งอกขึ้นมาเอง เราจำเป็นต้องทำงานจึงจะได้มา
ทั้งสองแนะนำว่า เวลาที่เหมาะสม ที่ลูกของเราจะเริ่มหาเงินเองได้ นั่นก็คือ เมื่อลูกของเราเริ่มรู้สึกว่า เงินค่าขนม ที่เราให้เริ่มไม่พอใช้และไม่พอเก็บออม
วิธีการที่ยอดเยี่ยม ก็คือ การที่ลูกของเราเริ่มหารายได้จาก งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ ในวันหยุด
เพราะเป็นวิธีการสอนให้ลูกของเรารู้จักถึง ความรับผิดชอบ การนำเสนอตนเอง และ การบริหารเงินตนเอง ที่ได้รับมา
ผู้เขียนทั้งสองให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า การที่จะส่งเสริมให้ลูกทำงานหารายได้อื่นนั้น...
พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมให้กับลูกของตน
เพราะจะทำให้เขาสามารถทำงานได้สำเร็จ และสร้างความมั่นใจในตนเองแก่ตัวเขา ผ่านการ ฝึกฝนทำงานบ้าน ตั้งแต่ยังเล็ก
ในยามที่ลูกของเราสามารถเริ่มต้นหา งานพาร์ตไทม์ หรือ งานพิเศษ ทำได้แล้วนั้น
ให้เราสอนเขาวางตัวอย่างสุภาพและนำเสนอตนเองให้น่าสนใจ ด้วยการทำ Resume หรือการทำนามบัตรแนะนำตัวอย่างย่อไว้พร้อมใช้งานเสมอ
ซึ่งอาจบันทึกเก็บไว้ในบล็อกที่เขาได้จัดทำขึ้นไว้ใช้งานส่วนตัว ก็จะทำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ลองอ่านที่ลิ้งค์นี้ได้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2019/01/blog-post_16.html)
ผู้เขียนยกตัวอย่างเรื่องการทำงานพาร์ตไทม์ หากลูกของเราเลือกทำงานเป็น ครูสอนพิเศษ
เราในฐานะพ่อแม่ ควรศึกษาให้รู้อย่างถ่องแท้ว่า ครูสอนพิเศษที่ดีนั้นเป็นอย่างไร
เพื่อนำมาถ่ายทอดมุมมองนี้ให้แก่ลูกของเราใช้เป็นหลักในการทำงาน เช่น ครูสอนพิเศษที่ดีควรจะ.......
สอนให้ลูกศิษย์ได้เรียนรู้ มิใช่การไปทำการบ้านให้...
ต้องรู้เทคนิคในการสอน เช่น ทำให้ลูกศิษย์รู้ว่าตนเองถูกคาดหวังอะไร ให้คำแนะนำลูกศิษย์อย่างตรงไปตรงมา และหมั่นจดบันทึกการสอน
ตั้งใจฟังลูกศิษย์ โดยการทำความเข้าใจการบ้านของเขา ก่อนที่ครูจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ....อย่างนี้เป็นต้น
สิ่งสำคัญที่สุด เราจะต้องจับคู่ในเรื่องของ ทักษะ ความสนใจ และพรสวรรค์ ของลูกของเราให้สอดคล้องกับงานที่เขาจะไปทำ
เพื่อที่เราจะได้ให้คำแนะนำแก่เขาได้อย่างมีทิศทาง
ผลพลอยได้ที่จะตามมา อาจจะทำให้เขาค้นพบว่า... ในอนาคตเขาอยากจะทำอะไร
พร้อมทั้งได้เรียนรู้ว่าเงินทองไม่ได้หามาง่าย ๆ ตัวเขาจะต้อง มีความพยายาม มีทักษะในงานที่จะทำ และมีความกระตือรือร้น อย่างต่อเนื่อง
การสอนลูกให้รู้จักหารายได้อื่นเพิ่มเติมในส่วนที่สอง คือ การหารายได้จาก การลงทุน
ผู้เขียนได้กล่าวถึงแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของการลงทุน ก็คือ เราควรที่จะนำเงินไปใช้ในแบบที่เกิดดอกออกผล
เพราะการปล่อยเงินไว้เฉย ๆ จะทำให้มูลค่าของเงินลดลงจากอิทธิพลของเงินเฟ้อ
เราสามารถสอนเรื่องลงทุนให้กับลูกของเรา ผ่านเครื่องมือการลงทุนที่มีอยู่มากมาย
อันได้แก่... หุ้นสามัญ หุ้นกู้ ไปจนถึงกองทุนรวมดัชนี
เหตุผลหนึ่ง ก็เนื่องจากเป็นวิธีการลงทุนที่ง่ายที่สุด
เพราะสิ่งเหล่านี้ มีการซื้อขายกันผ่าน ตลาดขนาดใหญ่ ที่คนเราทุกคนต่างรู้จักกันดีรองรับอยู่แล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปวิ่งหา
เช่น ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศสิงคโปร์ ไปจนถึงตลาดหลักทรัพย์ในประเทศยักใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
อีกเหตุผลหนึ่งนั้น ก็เพราะในตลาดเหล่านี้ ต่างมีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับตัวเด็ก ๆ
เช่น...ของเล่น เกมส์คอมพิวเตอร์ ตุ๊กตาบาร์บี้ สวนสนุก ร้านกาแฟ ร้านอาหารแมคโดนัลด์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์กีฬา etc. ....
ทั้งสองมองว่า สิ่งที่เป็นความท้าทายสำหรับพ่อแม่ ก็คือ การโน้มน้าวให้ลูกเชื่อว่า เขาควรนำเงินไปลงทุน มากกว่าการนำเงินไปใช้จ่ายที่น่าจะสนุกกว่า
และต้องไม่ลืมที่จะอธิบายให้เขาได้รับทราบ ถึงความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง หุ้นสามัญ กับ หุ้นกู้ ว่า....
เมื่อเราซื้อหุ้นสามัญหรือหุ้นกู้ ก็เท่ากับเรา ให้บริษัทกู้ยืมเงิน นั่นเอง
ขณะเดียวกันเราก็ต้องอธิบายให้ได้ว่า....
ผลตอบแทนของการลงทุนแต่ละอย่าง คืออะไร ?
การลงทุนใดที่เราต้องรับความเสี่ยงมากกว่ากัน ?
การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนแก่เรามากกว่า ?
และ....ในระยะยาวสิ่งใดที่ให้ผลตอบแทนได้ดีที่สุด ?
ผู้เขียนทั้งสองได้ให้ข้อคิดส่งท้าย ถึงความสำเร็จที่เราจะส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จในการลงทุน ก็คือ
เราสอนอะไรเราก็ต้องทำอย่างนั้น มีคำกล่าวที่ว่า เราไม่ต้องพูดเรื่องการลงทุนกับเด็กมากมายนัก เพราะเด็กฉลาดกว่าที่เราคิด เขาจะสังเกตตัวเราจากพฤติกรรมที่เราทำ
เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เพราะการลงทุนเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เราต้องหมั่นศึกษาหาประเด็นใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
เราต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย ทั้งสองเตือนว่า เราไม่ควรที่จะนำคำศัพท์ที่ยาก ๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุนมาคุยกับลูกหรอก ....เพราะสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ คือ เขาจะซื้อได้อย่างไร และ ขณะนี้การลงทุนของเขามีผลตอบแทนเท่าไรแล้ว
การสอนให้ลูกทำงานพาร์ตไทม์และการฝึกให้ลูกรู้จักลงทุนตั้งแต่ยังเล็กนั้น จะทำให้เขามีรายได้พิเศษ และยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ล้ำค่าในอนาคต
ให้เกิดขึ้นกับตัวเขาและแก่ครอบครัวของเรา
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562
จดบันทึกลงบล็อก
เจมส์ แมคกราท (James Mcgrath) และ บ็อบ เบทส์ (Bob Bates) สองผู้แต่งหนังสือ 89 กลยุทธ์ ที่องค์กรระดับโลกใช้สร้างองค์กรและบริหารคน หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Little Book of BIG Management Theories แปลโดย วิชิตรา สุนทรพิพิธ ได้กล่าวไว้ตอนต้นของหนังสือเล่มนี้ว่า..
...หากไม่มีทฤษฎีการจัดการและไอเดียที่บอกคุณถึงการปฏิบัติ คุณก็เหมือนช่างไม้ที่มีค้อนเพียงอันเดียวในกล่องเครื่องมือ โดยมีผลลัพธ์ของทุกปัญหาเป็นเหมือนตะปู...
ซึ่งทั้งสองมองว่า การที่เราจะเป็นนักบริหารที่มีความสามารถสูง จนกลายเป็นที่จับตาขององค์กรได้นั้น การมีความรู้พื้นฐานในทฤษฎีด้านการจัดการต่าง ๆ นั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตัวเรา
แต่สิ่งที่เราต้องสร้างเพิ่มเติม คือ ประสบการณ์ในการนำทฤษฎีต่าง ๆ มาปรับใช้งานด้วยตนเอง ฝึกฝนทักษะการบริหารในทุกโอกาส พร้อมทั้งลองทำตามทฤษฎีทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน
เปรียบได้ดั่งนักดนตรีแจ๊สที่เก่งกาจ ซึ่งสามารถเล่นตามท่วงทำนองพื้นฐานได้อย่างไม่มีผิดพลาด
แต่การจะเป็นนักดนตรีแจ๊สที่ยิ่งใหญ่ นักดนตรีแจ๊สท่านนั้นจะต้องผ่านการเรียนรู้ที่จะแสดงสดต่อหน้าผู้ชม
ผู้เขียนทั้งสอง ยังไม่แนะนำให้เราใช้เพียงการสังเกตนักบริหารที่เก่งกาจแล้วนำมาทำตามทั้งหมด เพราะนั่นจะนำพาให้ตัวเราก้าวไปสู่ความล้มเหลว
เนื่องจากขาดลักษณะเฉพาะอย่างที่เราเป็น เราจึงต้องพัฒนาจนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา
...สิ่งที่เป็นของตัวเอง คือสิ่งที่ถูกต้อง...
แล้วเราจะพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา ได้อย่างไร
ทั้งสองให้คำแนะนำว่าเราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย
...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..
เมื่อได้ทำทั้งสามประการนี้อย่างต่อเนื่องนานวันเข้า ก็จะค่อย ๆ พัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา ให้เกิดขึ้นมา
ยิ่งเรามีความรู้เกี่ยวกับ สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา และสไตล์ดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นได้มากเท่าไร
ตัวเราก็จะมีประสิทธิภาพในการบริหารมากขึ้นเท่านั้น
แล้วเรา จะสะสมความรู้ เหล่านี้ได้อย่างไร
แมคกราท และ เบทส์ ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าเราจำเป็นต้อง จดบันทึก อย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การบริหารของตัวเราเก็บไว้ เพราะสามารถใช้เป็นสิ่งสะท้อนของตัวเราได้
เช่น... เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ?
ทำไมจึงเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ?
เราสามารถทำอะไรให้แตกต่างจากนี้ได้หรือไม่ ?
ทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในสถานการณ์นี้แต่ล้มเหลวในสถานการณ์อื่น ? ... ฯลฯ
การจดบันทึกเก็บไว้ เมื่อเราได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จะทำให้เราได้เรียนรู้จากสิ่งสะท้อนเหล่านี้
และยังสามารถนำมาใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานได้ในอนาคต
การจดบันทึกหรือเขียนโน้ตสิ่งสะท้อนเล็ก ๆ นี้ จะช่วยให้เราจดจำฝังใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา
มันจะผสมผสานอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมกับอารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ และทํศนคติ จนกลายเป็นแหล่งสะสมความรู้โดยปริยาย
เมื่อถึงคราวจำเป็น ความรู้เหล่านี้จะคอยบอกตัวเราในการลงมือปฏิบัติเรื่องใด ๆ รวมถึงการตัดสินใจของตัวเรา จนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง
เหมือนกับนักดนตรี ที่สามารถเล่นดนตรีได้เข้าขากับผู้อื่น โดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก่อน
ในยามที่เราได้รับรู้ข้อมูลจากแหล่งอื่น แล้วเรารู้ได้ในทันทีทันใดว่าความเห็นเหล่านั้น ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม
สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนทั้งสองเรียกว่า ความรู้ที่เป็นไปโดยปริยาย ซึ่งคนรุ่นก่อนเรียกว่า สัญชาตญาณ หรือ ลางสังหรณ์ (Gut instinct)
แล้วเรา จะจดบันทึกอย่างไร ให้สะดวกในการเรียกใช้งานสม่ำเสมอ
โยอิจิ อิโนอุเอะ (Yoichi Inoue) ผู้แต่งหนังสือในชื่อภาษาไทย ว่างงาน แต่ไม่ว่างเงิน (2561) ให้คำแนะนำว่า...
ให้เราเขียน บล็อก ขึ้นมาเป็นของตัวเราครับ
เช่นเดียวกับที่ตัวผม (แอดบล็อกนี้) กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่นั่นเองครับ
ตัว โยอิจิ ได้กล่าวว่า การเขียนบล็อกนั้น จะทำให้เรามี สินทรัพย์ ทางความรู้ของตัวเราเอง
ที่เราสามารถ หยิบยืมหรือนำขึ้นมาใช้งาน ได้ตลอดกาล
เราสามารถที่จะหยิบมาใช้งานหรือเข้ามาค้นคว้าเพิ่มเติมเมื่อไรก็ได้
และยังสามารถเผยแพร่เป็นข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้
แม้ในช่วงแรก ๆ เนื้อหาที่เขียนไว้อาจจะยังไม่ดีนัก เนื่องจากเรายังไม่ตกผลึกทางความคิดมากพอ
แต่เราก็สามารถที่จะกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
หากเราพัฒนาเนื้อหาภายในบล็อกอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นพัฒนาเนื้อหาตามความเชี่ยวชาญของตัวเรา
ในอนาคตเรายังสามารถนำเนื้อหาภายในบล็อกมาใช้ในการ จัดสัมมนา โดยอ้างอิงเนื้อหาจากบล็อกได้เองอีกด้วยครับ
การสร้าง สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง ยังสามารถนำมาปรับใช้กับวิธีการลงทุนในหุ้น หรือการบริหารเงินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะในการลงทุนเราไม่อาจยืนยันได้ว่า การนำทฤษฎีการลงทุนแบบใดแบบหนึ่งมาใช้งานแล้วจะเหมาะสมกับตัวเราทั้งหมด
หรือหากทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะประสบความสำเร็จตามได้
เราจำเป็นต้องสร้างทางหรือ สไตล์ ของเราขึ้นมาเอง โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 3 ประการข้างต้นครับ
โดยที่เรายังสามารถนำ ความรู้ทางการเงิน หรือประสบการณ์ในการลงทุน ของตัวเราเอง มาจดบันทึกเก็บไว้ในบล็อก
ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวเราทั้งสองทางครับ
...หากไม่มีทฤษฎีการจัดการและไอเดียที่บอกคุณถึงการปฏิบัติ คุณก็เหมือนช่างไม้ที่มีค้อนเพียงอันเดียวในกล่องเครื่องมือ โดยมีผลลัพธ์ของทุกปัญหาเป็นเหมือนตะปู...
ซึ่งทั้งสองมองว่า การที่เราจะเป็นนักบริหารที่มีความสามารถสูง จนกลายเป็นที่จับตาขององค์กรได้นั้น การมีความรู้พื้นฐานในทฤษฎีด้านการจัดการต่าง ๆ นั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตัวเรา
แต่สิ่งที่เราต้องสร้างเพิ่มเติม คือ ประสบการณ์ในการนำทฤษฎีต่าง ๆ มาปรับใช้งานด้วยตนเอง ฝึกฝนทักษะการบริหารในทุกโอกาส พร้อมทั้งลองทำตามทฤษฎีทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน
เปรียบได้ดั่งนักดนตรีแจ๊สที่เก่งกาจ ซึ่งสามารถเล่นตามท่วงทำนองพื้นฐานได้อย่างไม่มีผิดพลาด
แต่การจะเป็นนักดนตรีแจ๊สที่ยิ่งใหญ่ นักดนตรีแจ๊สท่านนั้นจะต้องผ่านการเรียนรู้ที่จะแสดงสดต่อหน้าผู้ชม
ผู้เขียนทั้งสอง ยังไม่แนะนำให้เราใช้เพียงการสังเกตนักบริหารที่เก่งกาจแล้วนำมาทำตามทั้งหมด เพราะนั่นจะนำพาให้ตัวเราก้าวไปสู่ความล้มเหลว
เนื่องจากขาดลักษณะเฉพาะอย่างที่เราเป็น เราจึงต้องพัฒนาจนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา
...สิ่งที่เป็นของตัวเอง คือสิ่งที่ถูกต้อง...
แล้วเราจะพัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเรา ได้อย่างไร
ทั้งสองให้คำแนะนำว่าเราต้องค่อย ๆ สะสมจาก 3 ปัจจัย
...ศึกษาจากทฤษฎีบางส่วน ดูความสำเร็จของนักบริหารที่เราเห็นเป็นต้นแบบ และได้รับประสบการณ์ตรงจากการบริหารของตัวเราเอง..
เมื่อได้ทำทั้งสามประการนี้อย่างต่อเนื่องนานวันเข้า ก็จะค่อย ๆ พัฒนา สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา ให้เกิดขึ้นมา
ยิ่งเรามีความรู้เกี่ยวกับ สไตล์การบริหารเฉพาะตัวของเรา และสไตล์ดังกล่าวสามารถสร้างผลกระทบที่มีต่อผู้อื่นได้มากเท่าไร
ตัวเราก็จะมีประสิทธิภาพในการบริหารมากขึ้นเท่านั้น
แล้วเรา จะสะสมความรู้ เหล่านี้ได้อย่างไร
แมคกราท และ เบทส์ ให้ข้อแนะนำเพิ่มเติมว่าเราจำเป็นต้อง จดบันทึก อย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับประสบการณ์การบริหารของตัวเราเก็บไว้ เพราะสามารถใช้เป็นสิ่งสะท้อนของตัวเราได้
เช่น... เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ?
ทำไมจึงเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ?
เราสามารถทำอะไรให้แตกต่างจากนี้ได้หรือไม่ ?
ทำไมเราจึงประสบความสำเร็จในสถานการณ์นี้แต่ล้มเหลวในสถานการณ์อื่น ? ... ฯลฯ
การจดบันทึกเก็บไว้ เมื่อเราได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง จะทำให้เราได้เรียนรู้จากสิ่งสะท้อนเหล่านี้
และยังสามารถนำมาใช้เป็นคู่มือปฏิบัติงานได้ในอนาคต
การจดบันทึกหรือเขียนโน้ตสิ่งสะท้อนเล็ก ๆ นี้ จะช่วยให้เราจดจำฝังใจในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา
มันจะผสมผสานอยู่ในตัวเราโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้จะหลอมรวมกับอารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ และทํศนคติ จนกลายเป็นแหล่งสะสมความรู้โดยปริยาย
เมื่อถึงคราวจำเป็น ความรู้เหล่านี้จะคอยบอกตัวเราในการลงมือปฏิบัติเรื่องใด ๆ รวมถึงการตัดสินใจของตัวเรา จนเกิดเป็น สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง
เหมือนกับนักดนตรี ที่สามารถเล่นดนตรีได้เข้าขากับผู้อื่น โดยไม่ต้องเตรียมตัวมาก่อน
ในยามที่เราได้รับรู้ข้อมูลจากแหล่งอื่น แล้วเรารู้ได้ในทันทีทันใดว่าความเห็นเหล่านั้น ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม
สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนทั้งสองเรียกว่า ความรู้ที่เป็นไปโดยปริยาย ซึ่งคนรุ่นก่อนเรียกว่า สัญชาตญาณ หรือ ลางสังหรณ์ (Gut instinct)
แล้วเรา จะจดบันทึกอย่างไร ให้สะดวกในการเรียกใช้งานสม่ำเสมอ
โยอิจิ อิโนอุเอะ (Yoichi Inoue) ผู้แต่งหนังสือในชื่อภาษาไทย ว่างงาน แต่ไม่ว่างเงิน (2561) ให้คำแนะนำว่า...
ให้เราเขียน บล็อก ขึ้นมาเป็นของตัวเราครับ
เช่นเดียวกับที่ตัวผม (แอดบล็อกนี้) กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่นั่นเองครับ
ตัว โยอิจิ ได้กล่าวว่า การเขียนบล็อกนั้น จะทำให้เรามี สินทรัพย์ ทางความรู้ของตัวเราเอง
ที่เราสามารถ หยิบยืมหรือนำขึ้นมาใช้งาน ได้ตลอดกาล
เราสามารถที่จะหยิบมาใช้งานหรือเข้ามาค้นคว้าเพิ่มเติมเมื่อไรก็ได้
และยังสามารถเผยแพร่เป็นข้อมูลให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเพิ่มเติมได้
แม้ในช่วงแรก ๆ เนื้อหาที่เขียนไว้อาจจะยังไม่ดีนัก เนื่องจากเรายังไม่ตกผลึกทางความคิดมากพอ
แต่เราก็สามารถที่จะกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
หากเราพัฒนาเนื้อหาภายในบล็อกอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นพัฒนาเนื้อหาตามความเชี่ยวชาญของตัวเรา
ในอนาคตเรายังสามารถนำเนื้อหาภายในบล็อกมาใช้ในการ จัดสัมมนา โดยอ้างอิงเนื้อหาจากบล็อกได้เองอีกด้วยครับ
การสร้าง สไตล์การบริหารเฉพาะของตัวเราเอง ยังสามารถนำมาปรับใช้กับวิธีการลงทุนในหุ้น หรือการบริหารเงินของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพราะในการลงทุนเราไม่อาจยืนยันได้ว่า การนำทฤษฎีการลงทุนแบบใดแบบหนึ่งมาใช้งานแล้วจะเหมาะสมกับตัวเราทั้งหมด
หรือหากทำตามคนที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะประสบความสำเร็จตามได้
เราจำเป็นต้องสร้างทางหรือ สไตล์ ของเราขึ้นมาเอง โดยอิงอยู่บนพื้นฐานของปัจจัย 3 ประการข้างต้นครับ
โดยที่เรายังสามารถนำ ความรู้ทางการเงิน หรือประสบการณ์ในการลงทุน ของตัวเราเอง มาจดบันทึกเก็บไว้ในบล็อก
ถือเป็นประโยชน์ต่อตัวเราทั้งสองทางครับ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562
ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย
ในโลกแห่งการบริหารจัดการองค์กร สถิติและข้อมูล นับเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารองค์กรสมัยใหม่
...หากองค์กรใดไม่มีการจัดเก็บหรือรวบรวมไว้ ก็อาจจะทำให้องค์กรนั้นสูญเสียอำนาจในการบริหารองค์กรไปได้ (ชัชวลิต ศรวารี, คนกับองค์กร.)
หากท่านใดชอบชมภาพยนตร์ อยากแนะนำให้ลองหาเรื่อง Draft Day (2014) ซึ่งนำแสดงโดย เควิน คอสเนอร์ ดารารุ่นเก๋ามาชมกันครับ
เนื้อหาของภาพยนตร์พูดถึงเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถึงช่วงเวลาการ Draft หรือการเลือกตัวนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลหน้าใหม่ (Rookie) ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในประเทศสหรัฐอเมริกา จากลีกในระดับมหาวิทยาลัย หรือ NCAA เข้าสู่ทีมอาชีพในลีก NFL
หลาย ๆ ท่าน น่าจะตระหนักถึงความสำคัญของสถิติและข้อมูลกันมากยิ่งขึ้น ภายหลังที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันแล้วอย่างแน่นอน
รวมถึงเทคนิคหรือวิธีการที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่ได้มีการนำมาข้อมูลมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะตลอดเวลาที่เราได้เห็นในภาพยนตร์ เราจะเห็นตัวเอกของเรื่องที่ต้องมีการรวบรวม สถิติและข้อมูล ของนักกีฬาจากทุกกลุ่ม
ทั้งจากกลุ่มนักกีฬาที่มีอยู่เดิมในสังกัด จากกลุ่มนักกีฬาหน้าใหม่ จากผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงจากสตาฟท์ทีมงานของตนเอง
รวมถึงยังต้องมีการต่อรอง การบลั๊ฟ การเปลี่ยนแผน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของ การรวบรวมข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้ จะส่งผลต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของทีมไปจนจบฤดูกาล
และในบางทีมอาจต้องดูแลกันไปจนครบสัญญากันเลยทีเดียว
เมื่อได้รับชมจนจบแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจถึงความเป็นมหาอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกยุคสมัยปัจจุบันแต่อย่างใด
เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกให้เห็นผ่านการชมภาพยนตร์ก็คือ ความเป็นเลิศในงานด้านการข่าว ของคนในประเทศเขาที่ฝังรากลึกไปในทุกวงการจริง ๆ
ประเด็นที่ได้นำเสนอมาข้างต้น ...
เราสามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการลงทุนของตัวเรา เช่น การลงทุนในหุ้น ได้อย่างไร
หลายปีที่ผ่านมาในการลงทุนของตนเอง ผมได้ยินคำว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย บ่อยครั้ง จึงได้ลองติดตามศึกษาดู
ก็พบว่าเป็นคำที่ปรากฎอยู่ในผลงานของนักลงทุนระดับตำนานของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์
จากที่ได้ติดตามอ่านประวัติของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำให้ทราบว่า นี่คือ หัวใจสำคัญ ที่ทำให้เขายังคงเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้ลองตามศึกษาเพิ่มเติมดู ตัวผมเองก็ยังไม่พบ (ซึ่งอาจจะมี แต่ผมยังไม่เจอ) ถึงแนวทางที่ชัดเจนว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย มีหน้าตาเป็นอย่างไร
ในมุมมองผม เราจึงต้อง กำหนดหรือสร้างขึ้นมา ด้วยตัวของเราเองครับ
แล้วเราจะกำหนด ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย อย่างไร
ปกติผมใช้การเก็บรวบรวม สถิติและข้อมูล ของราคาหุ้นที่ผมสนใจด้วยตนเอง
ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นขนาดใหญ่ และมีปันผลสม่ำเสมอครับ
นอกเหนือจากการศึกษา งบดุล และ การติดตามข่าวสาร ของหุ้นแต่ละตัวที่เราสนใจ
โดยใช้โปรแกรมเอ็กเซลแบบง่าย ๆ ครับ...
จริงอยู่ที่ในโปรแกรมสตรีมมิ่งที่เราใช้ในการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน ก็มีข้อมูลเหล่านี้แสดงผลเป็นกราฟราคา
แต่ผมพบจากประสบการณ์ว่า การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อย่างมีวินัยด้วยตนเอง ทำให้เราตัดสินใจได้ดีกว่ามาก
".... คุณต้องทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มันเป็นตัวเลข มันจึงจะวัดได้ เมื่อวัดได้ก็จะทำให้เราเข้าใจ..."
เป็นคำกล่าวที่ผมจำขึ้นใจมาจากนักคณิตศาสตร์ระดับโลกท่านหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลออกมาแล้ว เราก็สามารถที่จะ จัดกระทำ กับข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง
พูดให้ข้าใจง่าย เราเป็นผู้ควบคุมข้อมูล นั่นเองครับ
เมื่อได้รวบรวมและประมวลข้อมูลด้วยตนเอง ก็ทำให้ตัวเราสามารถที่จะ ตั้งคำถาม กับตัวเองได้ว่า
ค่าเฉลี่ยราคา สูงสุด - ต่ำสุด ของหุ้นที่เราศึกษาแล้วนั้น มีราคาอยู่ที่เท่าไร
ภาพใน 1 ปี จริง ๆ แล้ว เขาซื้อ-ขาย กันทั้งหมดเป็นจำนวนกี่วัน... 250 วัน หรือ 300 วัน ...
จากจำนวนวันทั้งหมด ราคาเฉลี่ยกลาง ที่เราเห็นควรจะใช้ราคาตรงวันใดมาเป็นฐานคิด (หรือเรียกอีกอย่าง คือ เป็นราคาที่เราใช้เป็น สมมุติฐาน) ...
ควรเป็นวันที่ 100 หรือวันที่ 125 หรือ.....
จาก ราคาเฉลี่ยกลาง ที่เราคิด เราควรให้ ส่วนลด (เข้าซื้อสะสม) หรือ คิดส่วนเพิ่ม (ขายทำกำไร) สักกี่เปอร์เซ็นต์ดี
ควรจะเป็น ... 7% หรือ 11% หรือ .......ทั้งในการซื้อ และการขาย ดีหรือไม่
...เคล็ดลับของความร่ำรวย ก็เหมือนกับเคล็ดลับของการเล่นตลก... "จังหวะ"...
เป็นคำกล่าวที่ผมชอบมาก ซึ่งได้รับชมมาจากภาพยนตร์เรื่อง A good year ( 2006)..
แล้วเราควรจะกำหนด จังหวะ ในการเข้า ซื้อ-ขาย อย่างไร ...
ในระยะ 1 ปี เราต้องรอให้ตลาดปรับตัวลงสัก 10 - 15 % ก่อนดีไหม หลังจากไปถึงจุดที่เราคิดว่าสูงสุดแล้วของแต่ละปี แล้วเราจึงค่อยเข้าซื้อ...
ในการเข้าซื้อ เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนการปันผลสัก 60 วันทำการดีไหม ...
หรือเราควรจะทยอยซื้อทีละ 100 หุ้น แล้วเวลาขายเราขายทิ้งทั้งหมดทีเดียว ...
เราควรใช้ช่วงเวลาหลังการปันผลสัก 60 วันทำการดีหรือไม่ ในการขายหุ้นออก ..
หรือเราจะไม่ขายบ่อยครั้ง แต่ใช้การบริหารเป็นภาพรวมทั้งพอร์ตดีไหม โดยใช้การคิดแบบร้อยละเป็นตัวประเมินในการบริหารพอร์ตของตัวเรา ...
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรามีการรวบรวม สถิติและข้อมูล อย่างต่อเนื่องและมีวินัย
เราก็จะเป็นผู้ที่ ควบคุมข้อมูล จนสามารถนำมาจัดกระทำกับในแบบที่เราต้องการ หรือนำข้อมูลมาบริหารให้ตัวเราได้พิจารณาอย่างเป็นระบบ
จะทำให้เราเห็นแนวโน้มการตัดสินใจหรือจุดตัดสินใจที่เหมาะสมกับตัวเรา อันจะทำให้ การลงทุนของตัวเรา มีความยั่งยืน
นี่คือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ในมุมมองของผมครับ
...หากองค์กรใดไม่มีการจัดเก็บหรือรวบรวมไว้ ก็อาจจะทำให้องค์กรนั้นสูญเสียอำนาจในการบริหารองค์กรไปได้ (ชัชวลิต ศรวารี, คนกับองค์กร.)
หากท่านใดชอบชมภาพยนตร์ อยากแนะนำให้ลองหาเรื่อง Draft Day (2014) ซึ่งนำแสดงโดย เควิน คอสเนอร์ ดารารุ่นเก๋ามาชมกันครับ
เนื้อหาของภาพยนตร์พูดถึงเหตุการณ์เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถึงช่วงเวลาการ Draft หรือการเลือกตัวนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลหน้าใหม่ (Rookie) ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบในประเทศสหรัฐอเมริกา จากลีกในระดับมหาวิทยาลัย หรือ NCAA เข้าสู่ทีมอาชีพในลีก NFL
หลาย ๆ ท่าน น่าจะตระหนักถึงความสำคัญของสถิติและข้อมูลกันมากยิ่งขึ้น ภายหลังที่ได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันแล้วอย่างแน่นอน
รวมถึงเทคนิคหรือวิธีการที่ปรากฎอยู่ในภาพยนตร์ดังกล่าว ที่ได้มีการนำมาข้อมูลมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะตลอดเวลาที่เราได้เห็นในภาพยนตร์ เราจะเห็นตัวเอกของเรื่องที่ต้องมีการรวบรวม สถิติและข้อมูล ของนักกีฬาจากทุกกลุ่ม
ทั้งจากกลุ่มนักกีฬาที่มีอยู่เดิมในสังกัด จากกลุ่มนักกีฬาหน้าใหม่ จากผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้าม ไปจนถึงจากสตาฟท์ทีมงานของตนเอง
รวมถึงยังต้องมีการต่อรอง การบลั๊ฟ การเปลี่ยนแผน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่บนพื้นฐานของ การรวบรวมข้อมูล เพื่อประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เพราะการตัดสินใจในครั้งนี้ จะส่งผลต่อประสิทธิผลและประสิทธิภาพของทีมไปจนจบฤดูกาล
และในบางทีมอาจต้องดูแลกันไปจนครบสัญญากันเลยทีเดียว
เมื่อได้รับชมจนจบแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกแปลกใจถึงความเป็นมหาอำนาจของประเทศสหรัฐอเมริกาในโลกยุคสมัยปัจจุบันแต่อย่างใด
เพราะสิ่งที่เขาแสดงออกให้เห็นผ่านการชมภาพยนตร์ก็คือ ความเป็นเลิศในงานด้านการข่าว ของคนในประเทศเขาที่ฝังรากลึกไปในทุกวงการจริง ๆ
ประเด็นที่ได้นำเสนอมาข้างต้น ...
เราสามารถนำมาปรับใช้กับการบริหารการลงทุนของตัวเรา เช่น การลงทุนในหุ้น ได้อย่างไร
หลายปีที่ผ่านมาในการลงทุนของตนเอง ผมได้ยินคำว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย บ่อยครั้ง จึงได้ลองติดตามศึกษาดู
ก็พบว่าเป็นคำที่ปรากฎอยู่ในผลงานของนักลงทุนระดับตำนานของโลก คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์
จากที่ได้ติดตามอ่านประวัติของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำให้ทราบว่า นี่คือ หัวใจสำคัญ ที่ทำให้เขายังคงเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อได้ลองตามศึกษาเพิ่มเติมดู ตัวผมเองก็ยังไม่พบ (ซึ่งอาจจะมี แต่ผมยังไม่เจอ) ถึงแนวทางที่ชัดเจนว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย มีหน้าตาเป็นอย่างไร
ในมุมมองผม เราจึงต้อง กำหนดหรือสร้างขึ้นมา ด้วยตัวของเราเองครับ
แล้วเราจะกำหนด ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย อย่างไร
ปกติผมใช้การเก็บรวบรวม สถิติและข้อมูล ของราคาหุ้นที่ผมสนใจด้วยตนเอง
ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นขนาดใหญ่ และมีปันผลสม่ำเสมอครับ
นอกเหนือจากการศึกษา งบดุล และ การติดตามข่าวสาร ของหุ้นแต่ละตัวที่เราสนใจ
โดยใช้โปรแกรมเอ็กเซลแบบง่าย ๆ ครับ...
จริงอยู่ที่ในโปรแกรมสตรีมมิ่งที่เราใช้ในการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน ก็มีข้อมูลเหล่านี้แสดงผลเป็นกราฟราคา
แต่ผมพบจากประสบการณ์ว่า การรวบรวมข้อมูลเหล่านี้อย่างมีวินัยด้วยตนเอง ทำให้เราตัดสินใจได้ดีกว่ามาก
".... คุณต้องทำให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ ทำให้มันเป็นตัวเลข มันจึงจะวัดได้ เมื่อวัดได้ก็จะทำให้เราเข้าใจ..."
เป็นคำกล่าวที่ผมจำขึ้นใจมาจากนักคณิตศาสตร์ระดับโลกท่านหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว
เพราะเมื่อเราได้ข้อมูลออกมาแล้ว เราก็สามารถที่จะ จัดกระทำ กับข้อมูลต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง
พูดให้ข้าใจง่าย เราเป็นผู้ควบคุมข้อมูล นั่นเองครับ
เมื่อได้รวบรวมและประมวลข้อมูลด้วยตนเอง ก็ทำให้ตัวเราสามารถที่จะ ตั้งคำถาม กับตัวเองได้ว่า
ค่าเฉลี่ยราคา สูงสุด - ต่ำสุด ของหุ้นที่เราศึกษาแล้วนั้น มีราคาอยู่ที่เท่าไร
ภาพใน 1 ปี จริง ๆ แล้ว เขาซื้อ-ขาย กันทั้งหมดเป็นจำนวนกี่วัน... 250 วัน หรือ 300 วัน ...
จากจำนวนวันทั้งหมด ราคาเฉลี่ยกลาง ที่เราเห็นควรจะใช้ราคาตรงวันใดมาเป็นฐานคิด (หรือเรียกอีกอย่าง คือ เป็นราคาที่เราใช้เป็น สมมุติฐาน) ...
ควรเป็นวันที่ 100 หรือวันที่ 125 หรือ.....
จาก ราคาเฉลี่ยกลาง ที่เราคิด เราควรให้ ส่วนลด (เข้าซื้อสะสม) หรือ คิดส่วนเพิ่ม (ขายทำกำไร) สักกี่เปอร์เซ็นต์ดี
ควรจะเป็น ... 7% หรือ 11% หรือ .......ทั้งในการซื้อ และการขาย ดีหรือไม่
...เคล็ดลับของความร่ำรวย ก็เหมือนกับเคล็ดลับของการเล่นตลก... "จังหวะ"...
เป็นคำกล่าวที่ผมชอบมาก ซึ่งได้รับชมมาจากภาพยนตร์เรื่อง A good year ( 2006)..
แล้วเราควรจะกำหนด จังหวะ ในการเข้า ซื้อ-ขาย อย่างไร ...
ในระยะ 1 ปี เราต้องรอให้ตลาดปรับตัวลงสัก 10 - 15 % ก่อนดีไหม หลังจากไปถึงจุดที่เราคิดว่าสูงสุดแล้วของแต่ละปี แล้วเราจึงค่อยเข้าซื้อ...
ในการเข้าซื้อ เราควรใช้ช่วงเวลาก่อนการปันผลสัก 60 วันทำการดีไหม ...
หรือเราควรจะทยอยซื้อทีละ 100 หุ้น แล้วเวลาขายเราขายทิ้งทั้งหมดทีเดียว ...
เราควรใช้ช่วงเวลาหลังการปันผลสัก 60 วันทำการดีหรือไม่ ในการขายหุ้นออก ..
หรือเราจะไม่ขายบ่อยครั้ง แต่ใช้การบริหารเป็นภาพรวมทั้งพอร์ตดีไหม โดยใช้การคิดแบบร้อยละเป็นตัวประเมินในการบริหารพอร์ตของตัวเรา ...
ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเรามีการรวบรวม สถิติและข้อมูล อย่างต่อเนื่องและมีวินัย
เราก็จะเป็นผู้ที่ ควบคุมข้อมูล จนสามารถนำมาจัดกระทำกับในแบบที่เราต้องการ หรือนำข้อมูลมาบริหารให้ตัวเราได้พิจารณาอย่างเป็นระบบ
จะทำให้เราเห็นแนวโน้มการตัดสินใจหรือจุดตัดสินใจที่เหมาะสมกับตัวเรา อันจะทำให้ การลงทุนของตัวเรา มีความยั่งยืน
นี่คือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย ในมุมมองของผมครับ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561
อ่านวอร์เรน บัฟเฟตต์ แล้วสร้างพอร์ตลงทุนให้ยั่งยืน
ได้อ่าน The Snow Ball : Warren Buffett and the Business of Life หรือในชื่อภาษาไทยว่า "เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์" ของสำนักพิมพ์ WE LEARNแต่งโดย Alice Schroeder และแปลโดย นรา สุภัคโรจน์ อีกครั้ง ก็ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เพิ่มเติม
ก่อนอื่นขอนิยามคำว่า พอร์ตลงทุน ของผมในที่นี้ก่อนครับ พอร์ต ที่ว่าก็คือบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ของตัวเรานั่นเองครับ
เมื่อได้อ่านทบทวนจากหนังสือเล่มดังกล่าวอีกครั้ง (มี 2 เล่ม อ่านสนุกดีนะครับ ขอแนะนำเลย) ก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในการ บริหารพอร์ต ใหม่หมด ทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุนของตัวผมเอง
จุดเริ่มต้นของตัว บัฟเฟตต์ ในโลกการเงินเริ่มขึ้น ในช่วงที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ภายหลังที่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ที่เขาเคารพเป็นอย่างยิ่ง เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเริ่มมีแนวคิดที่จะรวบรวมเงินมาบริหารเพื่อเข้าไปซื้อ-ขาย หุ้น
ด้วยวัยเพียง 26 ปี บัฟเฟตต์ ก็ใช้แนวทางการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมาบริหารด้วยตัวเขาเอง โดยเริ่มต้นจากเงินทุนในหมู่ญาตพี่น้อง ก่อนที่ชื่อเสียงจะขจรขจาย จนมีคนนำเงินมาให้เขาบริหารกันอย่างมากมาย จนต้องตั้งเป็นกองทุนย่อย ๆ ถึง 11 กองทุน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง (ช่วงต้นทศวรรษที่ 70) วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ประกาศปิดกองทุน ซึ่งในช่วงของการปิดกองทุนนั้นเป็นช่วงพีคสุด ๆ ของกองทุนที่เขาบริหารพอดี คือ มีกำไรอย่างมหาศาล (ในสมัยนั้น) ขณะเดียวกันตลาดก็เริ่มทรุดตัวลง (ขาลง) ตามภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้นพอดี
หลังจากนั้นเขานำเงินกำไรที่ได้มาบริหารในลักษณะส่วนตัว ผ่านบริษัทที่เขาซื้อไว้ คือ Berkshire Hathaway ซึ่งในกาลต่อมาอีกหลายปีจนถึงปัจจุบัน เขาก็บริหารจนบริษัทกลายเป็น Holding Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน และตัวเขาเองก็กลายเป็นมหาเศรษฐีลำดับ Top 5 ของโลก
ในมุมมองผม ถือเป็นสุดยอดของผลงานจากการสร้าง นวัตกรรมทางการเงิน ที่เกิดขึ้นโดยการ ต่อยอดจากทรัพยากรเดิม ที่สามารถเล่าขานได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลยทีเดียว
และถือเป็นการใช้กลยุทธ์ Select & Focus ที่แสนคลาสสิค โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารบริษัทเดียวให้เติบโตผ่านการซื้อกิจการ (บริษัท) ต่าง ๆ รวมถึงการฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไร จนนำไปสู่การปันผลกลับสู่บริษัทแม่ ซึ่งก็คือ Berkshire Hathaway นั่นเอง
รายละเอียดของแต่ละ กลยุทธ์ หรือ วิธีการ ในการเข้าซื้อในแต่ละบริษัท ไปจนถึงวิธีการบริหารบริษัทภายหลังที่ได้ซื้อบริษัทมาว่า บัฟเฟตต์ ทำอย่างไรนั้น อยากแนะนำให้ทุกท่านที่สนใจได้ลองไปหาอ่านกันครับ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ สนุก และน่าตื่นเต้นมากมายครับ
หลาย ๆ เคส น่าจะเป็นแนวทางระดับขึ้นหิ้ง ในโรงเรียนสอนธุรกิจกันเลยทีเดียว ดังเช่น ตอนที่เขาเข้าซื้อกิจการเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเหนือในเนบราสกา หรือการมอบหมายคนเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทประกัน GEICO ไปจนถึงการเข้าไปแก้ปัญหาในบริษัทวาณิชธนกิจ Salomon Inc.
ประเด็นส่วนตัวที่ได้เรียนรู้ เป็นเรื่องของการ มองภาพรวม ที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับ การบริหารพอร์ตลงทุน ของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ได้ปรับมุมมองใหม่ (Mindset) ในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการบริหาร พอร์ต ของตัวเรา เหมือนกับกำลัง บริหารบริษัท ของตนเองครับ
กำหนดให้พอร์ตของเรา เหมือนกับ Holding Company ที่จะเข้าไปซื้อกิจการ (หุ้น) ภายหลังที่เราได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างดีแล้ว
ต้องกำหนดวงเงินงบประมาณ ว่าเราจะเข้าไปลงทุนในวงเงินเท่าไร แล้วกำหนด จังหวะ ในการเข้าซื้อ ผ่านแนวทางการทยอยซื้อ เช่น ทีละ 100 หุ้น (กรณีพอร์ตเรามีขนาดเล็ก) ดีไหม
ควรกำหนดจำนวนบริษัท (ประเภทธุรกิจของหุ้นแต่ละตัว) ที่เราจะเข้าซื้ออย่างไร
"...โลกจะก้าวหน้า ด้วยธุรกิจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติ..."
เป็นคำคมคำหนึ่ง ที่ผมได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งเราสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลงทุนก็ได้ครับ
หรือแม้กระทั่ง แนวทางแบบที่วอร์เรน ทำ เช่น ธุรกิจประกันภัย ที่เขาชื่นชอบมาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีเงินสดคงเหลือสูงมาก สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
เราไม่จำเป็นต้องรีบซื้อ-รีบขาย ค่อย ๆ ดูแลให้พอร์ตเติบโต โดยอิงบนพื้นฐานของช่วงเวลาการปันผลและการเติบโตของดัชนีตลาด
มองพอร์ต เป็นภาพรวม ในการเข้าไปซื้อหุ้น โดยอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบดุล ดัชนีตลาด ช่วงเวลาการปันผล ราคาเฉลี่ย ฯลฯ เพื่อกำหนดจังหวะในการ ซื้อ-ขาย
".....วิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินจากตลาดหุ้น คือ การซื้อหุ้นตามดัชนีโดยตรง...นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจ.." ชาร์ลส์ เอลลิส อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวไว้
เมื่อพอร์ตติดลบตามดัชนี จะใช้กลยุทธ์ Select & Focus ว่าบริษัท (หุ้น) ไหน ที่เราจะเพิ่มทุน (เฉลี่ยราคา) ไม่จำเป็นต้องทำทุกตัวดีไหม
เพราะเป็นหุ้นที่เราคัดสรรมาดีแล้ว และขนาดหรือราคาเมื่อเทียบกับเงินทุนที่เรามีในแต่ละช่วงเวลา อาจจะไม่เพียงพอในการทำกับหุ้นบางตัวก็เป็นไปได้
เมื่อพอร์ตมีกำไร (บวก) ตามดัชนี เราจะใช้กลยุทธ์ Select & Focus โดยดูบริษัท (หุ้น) ตัวไหน ที่เราคิดว่ากำไรเกินหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้บ้าง
แล้วเราควรจะขายออกไปดีไหม เพื่อดึงเงินสดกลับมาและทำให้พอร์ตเราใหญ่ขึ้น
หรือเราจะไม่ขายเลย และบริหารให้บริษัทเติบโตดังเช่นที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำ
ก่อนอื่นขอนิยามคำว่า พอร์ตลงทุน ของผมในที่นี้ก่อนครับ พอร์ต ที่ว่าก็คือบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ของตัวเรานั่นเองครับ
เมื่อได้อ่านทบทวนจากหนังสือเล่มดังกล่าวอีกครั้ง (มี 2 เล่ม อ่านสนุกดีนะครับ ขอแนะนำเลย) ก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในการ บริหารพอร์ต ใหม่หมด ทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุนของตัวผมเอง
จุดเริ่มต้นของตัว บัฟเฟตต์ ในโลกการเงินเริ่มขึ้น ในช่วงที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ภายหลังที่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ที่เขาเคารพเป็นอย่างยิ่ง เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเริ่มมีแนวคิดที่จะรวบรวมเงินมาบริหารเพื่อเข้าไปซื้อ-ขาย หุ้น
ด้วยวัยเพียง 26 ปี บัฟเฟตต์ ก็ใช้แนวทางการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมาบริหารด้วยตัวเขาเอง โดยเริ่มต้นจากเงินทุนในหมู่ญาตพี่น้อง ก่อนที่ชื่อเสียงจะขจรขจาย จนมีคนนำเงินมาให้เขาบริหารกันอย่างมากมาย จนต้องตั้งเป็นกองทุนย่อย ๆ ถึง 11 กองทุน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง (ช่วงต้นทศวรรษที่ 70) วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ประกาศปิดกองทุน ซึ่งในช่วงของการปิดกองทุนนั้นเป็นช่วงพีคสุด ๆ ของกองทุนที่เขาบริหารพอดี คือ มีกำไรอย่างมหาศาล (ในสมัยนั้น) ขณะเดียวกันตลาดก็เริ่มทรุดตัวลง (ขาลง) ตามภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้นพอดี
หลังจากนั้นเขานำเงินกำไรที่ได้มาบริหารในลักษณะส่วนตัว ผ่านบริษัทที่เขาซื้อไว้ คือ Berkshire Hathaway ซึ่งในกาลต่อมาอีกหลายปีจนถึงปัจจุบัน เขาก็บริหารจนบริษัทกลายเป็น Holding Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน และตัวเขาเองก็กลายเป็นมหาเศรษฐีลำดับ Top 5 ของโลก
ในมุมมองผม ถือเป็นสุดยอดของผลงานจากการสร้าง นวัตกรรมทางการเงิน ที่เกิดขึ้นโดยการ ต่อยอดจากทรัพยากรเดิม ที่สามารถเล่าขานได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลยทีเดียว
และถือเป็นการใช้กลยุทธ์ Select & Focus ที่แสนคลาสสิค โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารบริษัทเดียวให้เติบโตผ่านการซื้อกิจการ (บริษัท) ต่าง ๆ รวมถึงการฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไร จนนำไปสู่การปันผลกลับสู่บริษัทแม่ ซึ่งก็คือ Berkshire Hathaway นั่นเอง
รายละเอียดของแต่ละ กลยุทธ์ หรือ วิธีการ ในการเข้าซื้อในแต่ละบริษัท ไปจนถึงวิธีการบริหารบริษัทภายหลังที่ได้ซื้อบริษัทมาว่า บัฟเฟตต์ ทำอย่างไรนั้น อยากแนะนำให้ทุกท่านที่สนใจได้ลองไปหาอ่านกันครับ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ สนุก และน่าตื่นเต้นมากมายครับ
หลาย ๆ เคส น่าจะเป็นแนวทางระดับขึ้นหิ้ง ในโรงเรียนสอนธุรกิจกันเลยทีเดียว ดังเช่น ตอนที่เขาเข้าซื้อกิจการเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเหนือในเนบราสกา หรือการมอบหมายคนเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทประกัน GEICO ไปจนถึงการเข้าไปแก้ปัญหาในบริษัทวาณิชธนกิจ Salomon Inc.
ประเด็นส่วนตัวที่ได้เรียนรู้ เป็นเรื่องของการ มองภาพรวม ที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับ การบริหารพอร์ตลงทุน ของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ได้ปรับมุมมองใหม่ (Mindset) ในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการบริหาร พอร์ต ของตัวเรา เหมือนกับกำลัง บริหารบริษัท ของตนเองครับ
กำหนดให้พอร์ตของเรา เหมือนกับ Holding Company ที่จะเข้าไปซื้อกิจการ (หุ้น) ภายหลังที่เราได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างดีแล้ว
ต้องกำหนดวงเงินงบประมาณ ว่าเราจะเข้าไปลงทุนในวงเงินเท่าไร แล้วกำหนด จังหวะ ในการเข้าซื้อ ผ่านแนวทางการทยอยซื้อ เช่น ทีละ 100 หุ้น (กรณีพอร์ตเรามีขนาดเล็ก) ดีไหม
ควรกำหนดจำนวนบริษัท (ประเภทธุรกิจของหุ้นแต่ละตัว) ที่เราจะเข้าซื้ออย่างไร
"...โลกจะก้าวหน้า ด้วยธุรกิจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติ..."
เป็นคำคมคำหนึ่ง ที่ผมได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งเราสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลงทุนก็ได้ครับ
หรือแม้กระทั่ง แนวทางแบบที่วอร์เรน ทำ เช่น ธุรกิจประกันภัย ที่เขาชื่นชอบมาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีเงินสดคงเหลือสูงมาก สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
เราไม่จำเป็นต้องรีบซื้อ-รีบขาย ค่อย ๆ ดูแลให้พอร์ตเติบโต โดยอิงบนพื้นฐานของช่วงเวลาการปันผลและการเติบโตของดัชนีตลาด
มองพอร์ต เป็นภาพรวม ในการเข้าไปซื้อหุ้น โดยอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบดุล ดัชนีตลาด ช่วงเวลาการปันผล ราคาเฉลี่ย ฯลฯ เพื่อกำหนดจังหวะในการ ซื้อ-ขาย
".....วิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินจากตลาดหุ้น คือ การซื้อหุ้นตามดัชนีโดยตรง...นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจ.." ชาร์ลส์ เอลลิส อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวไว้
เมื่อพอร์ตติดลบตามดัชนี จะใช้กลยุทธ์ Select & Focus ว่าบริษัท (หุ้น) ไหน ที่เราจะเพิ่มทุน (เฉลี่ยราคา) ไม่จำเป็นต้องทำทุกตัวดีไหม
เพราะเป็นหุ้นที่เราคัดสรรมาดีแล้ว และขนาดหรือราคาเมื่อเทียบกับเงินทุนที่เรามีในแต่ละช่วงเวลา อาจจะไม่เพียงพอในการทำกับหุ้นบางตัวก็เป็นไปได้
เมื่อพอร์ตมีกำไร (บวก) ตามดัชนี เราจะใช้กลยุทธ์ Select & Focus โดยดูบริษัท (หุ้น) ตัวไหน ที่เราคิดว่ากำไรเกินหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้บ้าง
แล้วเราควรจะขายออกไปดีไหม เพื่อดึงเงินสดกลับมาและทำให้พอร์ตเราใหญ่ขึ้น
หรือเราจะไม่ขายเลย และบริหารให้บริษัทเติบโตดังเช่นที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561
สอนลูกเรื่องเงิน
"หัวใจสำคัญของการสอน คือ ความเต็มใจที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่"
วลีข้างต้น ผมนำมาจากภาพยนต์เรื่อง The Rewrite (2014) หรือในชื่อไทยว่า "เขียนอย่างไรให้คนมารักกัน" ที่นำแสดงโดย ฮิ้วจ์ แกรนท์ (Hugh Grant)
ซึ่งผมมองว่าเป็นคำพูดที่เฉียบคมมากที่หนังได้นำเสนอให้เราได้รับฟังกัน
ตัวหนังก็สนุกดีนะครับในมุมมองผม อาจจะไม่ถูกใจคนที่อายุยังน้อยอยู่บ้าง แต่ผมว่าก็โรแมนติกและน่ารักดี
ที่สำคัญเพราะ การกระทำ ของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ตรงกับวลีข้างต้นอย่างมากเลยครับ
ในเรื่อง ความรู้ทางการเงิน ผมคิดว่าทุกวันนี้ เราแทบจะไม่ต้องสอนหรือแนะนำกันในเรื่องนี้กันอีกแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การสร้างความมั่นคงทางการเงิน หรือ การสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตัวเราในช่วงเกษียณนั้นเราต้องทำอะไรบ้าง
เนื่องจากความรู้เหล่านี้เพียงแค่คลิกเดียว เราก็รับทราบข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เป็นแหล่งความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล และมีสถาบันต่าง ๆ ทำหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว เช่น หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
และทุกวันนี้ ก็ยังมีบุคลากรจากหลากหลายอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็น โค้ชทางการเงิน กันเป็นจำนวนมาก
บทความนี้ ผมตั้งใจจะให้มุมมองถึง วิธีการ ที่จะทำให้คนเรามีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง
เป็นแนวทาง เชิงป้องกันปัญหา มากกว่าการ แก้ไขปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินที่กำลังเป็นที่นิยมกันครับ
วิธีการที่ว่า ก็คือ การสอน นั่นเองครับ
การสอน ผมมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เราทุกคนต้องเคยผ่านการถูกสอน และอย่างน้อยก็ต้องเคยได้สอนอะไรใครบ้างไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
แล้ว กลุ่มเป้าหมาย ในการสอนของเราคือใคร ผมแนะนำเลย ก็คือ ลูก ของเรานั่นเอง
เพราะโดยปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่ก็อยากจะเป็นเหมือนอย่างพ่อแม่ มีพ่อแม่เป็นต้นแบบอยู่แล้วครับ
Adam Khoo และ Keon Chee สองนักเขียนจากหนังสือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ใช้เงินเป็น หรือ Bringing Up Money Smart Kids ได้แนะนำว่า
"...เพียงแค่เราทำให้ลูกเห็นว่าเราก็กำลังออมเงินอยู่เหมือนกัน ก็สามารถกระตุ้นให้เขาอยากออมเงินมากขึ้นแล้ว โดยหากระปุกออมสินมาสักใบ (แบบใส) และหยอดเงินให้เขาเห็น แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า คุณกำลังเก็บเงินเพื่ออะไร ลูกจะได้รู้ว่าการออมเงินเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ออมกัน.."
วิธีการข้างต้นก็คือ การสอน เรื่องเงิน ให้กับลูกของเราอยู่นั่นเอง เป็นการสอนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
ยิ่งเราสอนไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่เราได้สอน และได้รับฟังจากผลสะท้อนกลับยามที่เราลงมือทำ เราก็จะได้เรียนรู้ประเด็นใหม่ ๆ จากลูกของเราไปพร้อม ๆ กัน
แล้วเรา จะเริ่มสอนลูกเราตอนไหน ผมแนะนำให้ลองไปอ่านที่ Link นี้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_14.html
มีผู้รู้ (รวมถึงในหนังสือ ที่ผมได้อ้างอิงข้างต้น) ได้จัดทำเป็นกรอบเวลาตามอายุไว้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้คัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านทบทวนกันครับ
เคยอ่านคำคม ๆ อันหนึ่ง ที่มีคนกล่าวไว้นานแล้วว่า...
...มีอยู่สองสิ่งที่คนเรายิ่งทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ แล้วจะยิ่งมีความเหนือชั้นกว่าคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งคือ "การขับรถ" และสองคือ "การอ่านหนังสือ..."
และผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ
จริง ๆ แล้ว ผมว่าคนเรา ลองได้ทำอะไรบ่อย ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปนาน ๆ จนเกิดกระบวนการการเรียนรู้ หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ตกผลึกทางความคิด เขาก็จะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ไปโดยปริยาย
เมื่อมีใครมาถามหรือปรึกษาเขาในเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว ตัวเขาในยามที่ต้องให้คำอธิบายหรือสอนงาน เขาก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้น ในเรื่องของความรู้ที่ทั้งลึกและกว้าง ที่เขาเชี่ยวชาญ ผ่านการสอนหรือการให้คำปรึกษาอย่างแน่นอนอยู่แล้วครับ
เนื่องจากเขาได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
การสอน จึงเป็นวิธีการที่จะทำให้ตัวเราในฐานะผู้สอนและคนที่เราสอนหรือให้ความรู้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
แล้วเรา จะสอนอย่างไร ผมขอแนะนำให้ลองอ่านที่ Link นี้ครับ http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_16.html
ผมมองว่าเป็น กรอบหรือเฟรมเวิร์ก สำหรับใช้ในการสอนเรื่องเงินกับลูกของเราได้อย่างดีครับ หากต้องการลงรายละเอียดเพิ่มเติม เราก็ลองไปซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติมกันได้ครับ
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะใช้เทคนิคในการสอนแบบใด ถ้าเราได้ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ ตัวผู้สอนและตัวผู้เรียน ต่างได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ จนพัฒนากลายเป็นความเชี่ยวชาญไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เป็นการ สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างยั่งยืน ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ
วลีข้างต้น ผมนำมาจากภาพยนต์เรื่อง The Rewrite (2014) หรือในชื่อไทยว่า "เขียนอย่างไรให้คนมารักกัน" ที่นำแสดงโดย ฮิ้วจ์ แกรนท์ (Hugh Grant)
ซึ่งผมมองว่าเป็นคำพูดที่เฉียบคมมากที่หนังได้นำเสนอให้เราได้รับฟังกัน
ตัวหนังก็สนุกดีนะครับในมุมมองผม อาจจะไม่ถูกใจคนที่อายุยังน้อยอยู่บ้าง แต่ผมว่าก็โรแมนติกและน่ารักดี
ที่สำคัญเพราะ การกระทำ ของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ตรงกับวลีข้างต้นอย่างมากเลยครับ
ในเรื่อง ความรู้ทางการเงิน ผมคิดว่าทุกวันนี้ เราแทบจะไม่ต้องสอนหรือแนะนำกันในเรื่องนี้กันอีกแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การสร้างความมั่นคงทางการเงิน หรือ การสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตัวเราในช่วงเกษียณนั้นเราต้องทำอะไรบ้าง
เนื่องจากความรู้เหล่านี้เพียงแค่คลิกเดียว เราก็รับทราบข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เป็นแหล่งความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล และมีสถาบันต่าง ๆ ทำหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว เช่น หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
และทุกวันนี้ ก็ยังมีบุคลากรจากหลากหลายอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็น โค้ชทางการเงิน กันเป็นจำนวนมาก
บทความนี้ ผมตั้งใจจะให้มุมมองถึง วิธีการ ที่จะทำให้คนเรามีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง
เป็นแนวทาง เชิงป้องกันปัญหา มากกว่าการ แก้ไขปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินที่กำลังเป็นที่นิยมกันครับ
วิธีการที่ว่า ก็คือ การสอน นั่นเองครับ
การสอน ผมมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เราทุกคนต้องเคยผ่านการถูกสอน และอย่างน้อยก็ต้องเคยได้สอนอะไรใครบ้างไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
แล้ว กลุ่มเป้าหมาย ในการสอนของเราคือใคร ผมแนะนำเลย ก็คือ ลูก ของเรานั่นเอง
เพราะโดยปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่ก็อยากจะเป็นเหมือนอย่างพ่อแม่ มีพ่อแม่เป็นต้นแบบอยู่แล้วครับ
Adam Khoo และ Keon Chee สองนักเขียนจากหนังสือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ใช้เงินเป็น หรือ Bringing Up Money Smart Kids ได้แนะนำว่า
"...เพียงแค่เราทำให้ลูกเห็นว่าเราก็กำลังออมเงินอยู่เหมือนกัน ก็สามารถกระตุ้นให้เขาอยากออมเงินมากขึ้นแล้ว โดยหากระปุกออมสินมาสักใบ (แบบใส) และหยอดเงินให้เขาเห็น แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า คุณกำลังเก็บเงินเพื่ออะไร ลูกจะได้รู้ว่าการออมเงินเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ออมกัน.."
วิธีการข้างต้นก็คือ การสอน เรื่องเงิน ให้กับลูกของเราอยู่นั่นเอง เป็นการสอนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
ยิ่งเราสอนไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่เราได้สอน และได้รับฟังจากผลสะท้อนกลับยามที่เราลงมือทำ เราก็จะได้เรียนรู้ประเด็นใหม่ ๆ จากลูกของเราไปพร้อม ๆ กัน
แล้วเรา จะเริ่มสอนลูกเราตอนไหน ผมแนะนำให้ลองไปอ่านที่ Link นี้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_14.html
มีผู้รู้ (รวมถึงในหนังสือ ที่ผมได้อ้างอิงข้างต้น) ได้จัดทำเป็นกรอบเวลาตามอายุไว้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้คัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านทบทวนกันครับ
เคยอ่านคำคม ๆ อันหนึ่ง ที่มีคนกล่าวไว้นานแล้วว่า...
...มีอยู่สองสิ่งที่คนเรายิ่งทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ แล้วจะยิ่งมีความเหนือชั้นกว่าคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งคือ "การขับรถ" และสองคือ "การอ่านหนังสือ..."
และผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ
จริง ๆ แล้ว ผมว่าคนเรา ลองได้ทำอะไรบ่อย ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปนาน ๆ จนเกิดกระบวนการการเรียนรู้ หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ตกผลึกทางความคิด เขาก็จะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ไปโดยปริยาย
เมื่อมีใครมาถามหรือปรึกษาเขาในเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว ตัวเขาในยามที่ต้องให้คำอธิบายหรือสอนงาน เขาก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้น ในเรื่องของความรู้ที่ทั้งลึกและกว้าง ที่เขาเชี่ยวชาญ ผ่านการสอนหรือการให้คำปรึกษาอย่างแน่นอนอยู่แล้วครับ
เนื่องจากเขาได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
การสอน จึงเป็นวิธีการที่จะทำให้ตัวเราในฐานะผู้สอนและคนที่เราสอนหรือให้ความรู้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
แล้วเรา จะสอนอย่างไร ผมขอแนะนำให้ลองอ่านที่ Link นี้ครับ http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_16.html
ผมมองว่าเป็น กรอบหรือเฟรมเวิร์ก สำหรับใช้ในการสอนเรื่องเงินกับลูกของเราได้อย่างดีครับ หากต้องการลงรายละเอียดเพิ่มเติม เราก็ลองไปซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติมกันได้ครับ
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะใช้เทคนิคในการสอนแบบใด ถ้าเราได้ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ ตัวผู้สอนและตัวผู้เรียน ต่างได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ จนพัฒนากลายเป็นความเชี่ยวชาญไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เป็นการ สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างยั่งยืน ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)