วลีข้างต้น ผมนำมาจากภาพยนต์เรื่อง The Rewrite (2014) หรือในชื่อไทยว่า "เขียนอย่างไรให้คนมารักกัน" ที่นำแสดงโดย ฮิ้วจ์ แกรนท์ (Hugh Grant)
ซึ่งผมมองว่าเป็นคำพูดที่เฉียบคมมากที่หนังได้นำเสนอให้เราได้รับฟังกัน
ตัวหนังก็สนุกดีนะครับในมุมมองผม อาจจะไม่ถูกใจคนที่อายุยังน้อยอยู่บ้าง แต่ผมว่าก็โรแมนติกและน่ารักดี
ที่สำคัญเพราะ การกระทำ ของตัวละครทั้งหมดในเรื่อง ตรงกับวลีข้างต้นอย่างมากเลยครับ
ในเรื่อง ความรู้ทางการเงิน ผมคิดว่าทุกวันนี้ เราแทบจะไม่ต้องสอนหรือแนะนำกันในเรื่องนี้กันอีกแล้วล่ะครับ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การสร้างความมั่นคงทางการเงิน หรือ การสร้างความมั่งคั่ง ให้กับตัวเราในช่วงเกษียณนั้นเราต้องทำอะไรบ้าง
เนื่องจากความรู้เหล่านี้เพียงแค่คลิกเดียว เราก็รับทราบข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่เป็นแหล่งความรู้อันกว้างใหญ่ไพศาล และมีสถาบันต่าง ๆ ทำหน้าที่เหล่านี้ได้อย่างดีอยู่แล้ว เช่น หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)
และทุกวันนี้ ก็ยังมีบุคลากรจากหลากหลายอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็น โค้ชทางการเงิน กันเป็นจำนวนมาก
บทความนี้ ผมตั้งใจจะให้มุมมองถึง วิธีการ ที่จะทำให้คนเรามีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง
เป็นแนวทาง เชิงป้องกันปัญหา มากกว่าการ แก้ไขปัญหา ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินที่กำลังเป็นที่นิยมกันครับ
วิธีการที่ว่า ก็คือ การสอน นั่นเองครับ
การสอน ผมมองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก เราทุกคนต้องเคยผ่านการถูกสอน และอย่างน้อยก็ต้องเคยได้สอนอะไรใครบ้างไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม
แล้ว กลุ่มเป้าหมาย ในการสอนของเราคือใคร ผมแนะนำเลย ก็คือ ลูก ของเรานั่นเอง
เพราะโดยปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่ก็อยากจะเป็นเหมือนอย่างพ่อแม่ มีพ่อแม่เป็นต้นแบบอยู่แล้วครับ
Adam Khoo และ Keon Chee สองนักเขียนจากหนังสือ เลี้ยงลูกอย่างไรให้ใช้เงินเป็น หรือ Bringing Up Money Smart Kids ได้แนะนำว่า
"...เพียงแค่เราทำให้ลูกเห็นว่าเราก็กำลังออมเงินอยู่เหมือนกัน ก็สามารถกระตุ้นให้เขาอยากออมเงินมากขึ้นแล้ว โดยหากระปุกออมสินมาสักใบ (แบบใส) และหยอดเงินให้เขาเห็น แล้วอธิบายให้เขาฟังว่า คุณกำลังเก็บเงินเพื่ออะไร ลูกจะได้รู้ว่าการออมเงินเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ออมกัน.."
วิธีการข้างต้นก็คือ การสอน เรื่องเงิน ให้กับลูกของเราอยู่นั่นเอง เป็นการสอนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง
ยิ่งเราสอนไปเรื่อย ๆ เรียนรู้ในสิ่งที่เราได้สอน และได้รับฟังจากผลสะท้อนกลับยามที่เราลงมือทำ เราก็จะได้เรียนรู้ประเด็นใหม่ ๆ จากลูกของเราไปพร้อม ๆ กัน
แล้วเรา จะเริ่มสอนลูกเราตอนไหน ผมแนะนำให้ลองไปอ่านที่ Link นี้ครับ https://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_14.html
มีผู้รู้ (รวมถึงในหนังสือ ที่ผมได้อ้างอิงข้างต้น) ได้จัดทำเป็นกรอบเวลาตามอายุไว้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงได้คัดลอกมาให้ทุกท่านได้อ่านทบทวนกันครับ
เคยอ่านคำคม ๆ อันหนึ่ง ที่มีคนกล่าวไว้นานแล้วว่า...
...มีอยู่สองสิ่งที่คนเรายิ่งทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ แล้วจะยิ่งมีความเหนือชั้นกว่าคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งคือ "การขับรถ" และสองคือ "การอ่านหนังสือ..."
และผมก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกันครับ
จริง ๆ แล้ว ผมว่าคนเรา ลองได้ทำอะไรบ่อย ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปนาน ๆ จนเกิดกระบวนการการเรียนรู้ หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ตกผลึกทางความคิด เขาก็จะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ไปโดยปริยาย
เมื่อมีใครมาถามหรือปรึกษาเขาในเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว ตัวเขาในยามที่ต้องให้คำอธิบายหรือสอนงาน เขาก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้น ในเรื่องของความรู้ที่ทั้งลึกและกว้าง ที่เขาเชี่ยวชาญ ผ่านการสอนหรือการให้คำปรึกษาอย่างแน่นอนอยู่แล้วครับ
เนื่องจากเขาได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริงมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
การสอน จึงเป็นวิธีการที่จะทำให้ตัวเราในฐานะผู้สอนและคนที่เราสอนหรือให้ความรู้เกิดความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
แล้วเรา จะสอนอย่างไร ผมขอแนะนำให้ลองอ่านที่ Link นี้ครับ http://surasak-akkaraareesuk.blogspot.com/2018/12/blog-post_16.html
ผมมองว่าเป็น กรอบหรือเฟรมเวิร์ก สำหรับใช้ในการสอนเรื่องเงินกับลูกของเราได้อย่างดีครับ หากต้องการลงรายละเอียดเพิ่มเติม เราก็ลองไปซื้อหนังสือมาอ่านเพิ่มเติมกันได้ครับ
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะใช้เทคนิคในการสอนแบบใด ถ้าเราได้ทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้ ตัวผู้สอนและตัวผู้เรียน ต่างได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ จนพัฒนากลายเป็นความเชี่ยวชาญไปได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
เป็นการ สร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินอย่างยั่งยืน ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนครับ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น