วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อ่านวอร์เรน บัฟเฟตต์ แล้วสร้างพอร์ตลงทุนให้ยั่งยืน

       ได้อ่าน The Snow Ball : Warren Buffett and the Business of Life  หรือในชื่อภาษาไทยว่า  "เปิดปมชีวิต สู่วิธีคิดแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์"  ของสำนักพิมพ์ WE LEARNแต่งโดย  Alice Schroeder  และแปลโดย นรา  สุภัคโรจน์  อีกครั้ง  ก็ได้เห็นมุมมองใหม่ ๆ เพิ่มเติม
       ก่อนอื่นขอนิยามคำว่า พอร์ตลงทุน  ของผมในที่นี้ก่อนครับ  พอร์ต  ที่ว่าก็คือบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย  ของตัวเรานั่นเองครับ
       เมื่อได้อ่านทบทวนจากหนังสือเล่มดังกล่าวอีกครั้ง   (มี 2 เล่ม  อ่านสนุกดีนะครับ  ขอแนะนำเลย)  ก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในการ บริหารพอร์ต ใหม่หมด   ทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุนของตัวผมเอง
       จุดเริ่มต้นของตัว บัฟเฟตต์   ในโลกการเงินเริ่มขึ้น  ในช่วงที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ภายหลังที่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ที่เขาเคารพเป็นอย่างยิ่ง เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  เขาเริ่มมีแนวคิดที่จะรวบรวมเงินมาบริหารเพื่อเข้าไปซื้อ-ขาย หุ้น 
       ด้วยวัยเพียง 26 ปี บัฟเฟตต์ ก็ใช้แนวทางการระดมทุน  เพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมาบริหารด้วยตัวเขาเอง  โดยเริ่มต้นจากเงินทุนในหมู่ญาตพี่น้อง  ก่อนที่ชื่อเสียงจะขจรขจาย  จนมีคนนำเงินมาให้เขาบริหารกันอย่างมากมาย  จนต้องตั้งเป็นกองทุนย่อย ๆ ถึง 11 กองทุน
       แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง  (ช่วงต้นทศวรรษที่ 70)  วอร์เรน บัฟเฟตต์  ก็ประกาศปิดกองทุน  ซึ่งในช่วงของการปิดกองทุนนั้นเป็นช่วงพีคสุด ๆ ของกองทุนที่เขาบริหารพอดี  คือ  มีกำไรอย่างมหาศาล (ในสมัยนั้น)  ขณะเดียวกันตลาดก็เริ่มทรุดตัวลง (ขาลง)  ตามภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้นพอดี
       หลังจากนั้นเขานำเงินกำไรที่ได้มาบริหารในลักษณะส่วนตัว  ผ่านบริษัทที่เขาซื้อไว้ คือ Berkshire Hathaway  ซึ่งในกาลต่อมาอีกหลายปีจนถึงปัจจุบัน  เขาก็บริหารจนบริษัทกลายเป็น Holding Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน   และตัวเขาเองก็กลายเป็นมหาเศรษฐีลำดับ Top 5 ของโลก
       ในมุมมองผม  ถือเป็นสุดยอดของผลงานจากการสร้าง นวัตกรรมทางการเงิน  ที่เกิดขึ้นโดยการ ต่อยอดจากทรัพยากรเดิม  ที่สามารถเล่าขานได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลยทีเดียว 
       และถือเป็นการใช้กลยุทธ์ Select & Focus ที่แสนคลาสสิค  โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารบริษัทเดียวให้เติบโตผ่านการซื้อกิจการ (บริษัท) ต่าง ๆ  รวมถึงการฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไร  จนนำไปสู่การปันผลกลับสู่บริษัทแม่  ซึ่งก็คือ Berkshire Hathaway นั่นเอง
       รายละเอียดของแต่ละ กลยุทธ์  หรือ  วิธีการ  ในการเข้าซื้อในแต่ละบริษัท  ไปจนถึงวิธีการบริหารบริษัทภายหลังที่ได้ซื้อบริษัทมาว่า บัฟเฟตต์  ทำอย่างไรนั้น  อยากแนะนำให้ทุกท่านที่สนใจได้ลองไปหาอ่านกันครับ  มีรายละเอียดที่น่าสนใจ  สนุก  และน่าตื่นเต้นมากมายครับ
       หลาย ๆ เคส  น่าจะเป็นแนวทางระดับขึ้นหิ้ง  ในโรงเรียนสอนธุรกิจกันเลยทีเดียว  ดังเช่น  ตอนที่เขาเข้าซื้อกิจการเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเหนือในเนบราสกา  หรือการมอบหมายคนเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทประกัน GEICO   ไปจนถึงการเข้าไปแก้ปัญหาในบริษัทวาณิชธนกิจ Salomon Inc.
       ประเด็นส่วนตัวที่ได้เรียนรู้  เป็นเรื่องของการ  มองภาพรวม  ที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับ การบริหารพอร์ตลงทุน  ของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว   ได้ปรับมุมมองใหม่ (Mindset) ในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง   
       เป็นการบริหาร พอร์ต ของตัวเรา  เหมือนกับกำลัง  บริหารบริษัท  ของตนเองครับ
       กำหนดให้พอร์ตของเรา  เหมือนกับ Holding Company  ที่จะเข้าไปซื้อกิจการ (หุ้น) ภายหลังที่เราได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างดีแล้ว
       ต้องกำหนดวงเงินงบประมาณ ว่าเราจะเข้าไปลงทุนในวงเงินเท่าไร  แล้วกำหนด จังหวะ  ในการเข้าซื้อ  ผ่านแนวทางการทยอยซื้อ  เช่น  ทีละ 100 หุ้น  (กรณีพอร์ตเรามีขนาดเล็ก)  ดีไหม
       ควรกำหนดจำนวนบริษัท (ประเภทธุรกิจของหุ้นแต่ละตัว)  ที่เราจะเข้าซื้ออย่างไร
       "...โลกจะก้าวหน้า  ด้วยธุรกิจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติ..."  
       เป็นคำคมคำหนึ่ง  ที่ผมได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว  ซึ่งเราสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลงทุนก็ได้ครับ  
       หรือแม้กระทั่ง  แนวทางแบบที่วอร์เรน ทำ   เช่น  ธุรกิจประกันภัย  ที่เขาชื่นชอบมาก  เพราะเป็นธุรกิจที่มีเงินสดคงเหลือสูงมาก  สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
       เราไม่จำเป็นต้องรีบซื้อ-รีบขาย  ค่อย ๆ ดูแลให้พอร์ตเติบโต   โดยอิงบนพื้นฐานของช่วงเวลาการปันผลและการเติบโตของดัชนีตลาด 
       มองพอร์ต เป็นภาพรวม  ในการเข้าไปซื้อหุ้น  โดยอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ  เช่น  งบดุล  ดัชนีตลาด  ช่วงเวลาการปันผล  ราคาเฉลี่ย  ฯลฯ  เพื่อกำหนดจังหวะในการ  ซื้อ-ขาย
       ".....วิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินจากตลาดหุ้น  คือ  การซื้อหุ้นตามดัชนีโดยตรง...นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจ.."  ชาร์ลส์  เอลลิส  อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน  ได้กล่าวไว้       
       เมื่อพอร์ตติดลบตามดัชนี  จะใช้กลยุทธ์ Select & Focus ว่าบริษัท (หุ้น)  ไหน  ที่เราจะเพิ่มทุน  (เฉลี่ยราคา)  ไม่จำเป็นต้องทำทุกตัวดีไหม  
       เพราะเป็นหุ้นที่เราคัดสรรมาดีแล้ว  และขนาดหรือราคาเมื่อเทียบกับเงินทุนที่เรามีในแต่ละช่วงเวลา  อาจจะไม่เพียงพอในการทำกับหุ้นบางตัวก็เป็นไปได้
       เมื่อพอร์ตมีกำไร (บวก)  ตามดัชนี  เราจะใช้กลยุทธ์ Select & Focus  โดยดูบริษัท (หุ้น) ตัวไหน  ที่เราคิดว่ากำไรเกินหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้บ้าง  
       แล้วเราควรจะขายออกไปดีไหม  เพื่อดึงเงินสดกลับมาและทำให้พอร์ตเราใหญ่ขึ้น
       หรือเราจะไม่ขายเลย  และบริหารให้บริษัทเติบโตดังเช่นที่วอร์เรน  บัฟเฟตต์ ทำ  

สุรศักดิ์  อัครอารีสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น