วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ออม ใช้ ปัน

       มีภาษิตญี่ปุ่นบทหนึ่ง  กล่าวไว้ว่า...  "พ่อแม่นั้นให้กำเนิดเรา  แต่เงินตราเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตอยู่รอด"
       ภาษิตข้างต้น  ฟังดูแล้วเป็นทุนนิยมมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ  แต่ถ้าเราพิจารณาดูดี ๆ ก็มีความจริงซ่อนอยู่ไม่น้อยทีเดียว
       ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือ  "เลี้ยงลูกให้ใช้เงินเป็น (Bringing Up Money Smart Kids by Adam Khoo and Keon Chee : 2015.  แปลโดย พรรณี  ชูจิรวงศ์)"  หนังสือขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสิงคโปร์

       เมื่อได้อ่านจนจบแล้ว (เล่มบาง ๆ อ่านง่ายมากครับ)  ก็อยากแนะนำต่อให้หลาย ๆ ท่าน  โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่  รวมถึงทุก ๆ ท่าน  ได้ลองหามาอ่านกันครับ
       เพราะเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้  เหมือนกำลังตอบโจทย์ตามภาษิตที่ผมได้ยกขึ้นมาอ้างอิงตอนต้นของบทความนี้เลยครับ
       ผู้เขียนทั้งสองมองว่า  ยุคสมัยปัจจุบัน  เวลา  เป็นสิ่งที่หายากยิ่งกว่า  เงินทอง 
       และพวกเราทุกคนในฐานะพ่อแม่ ยิ่งต้องการ  คำแนะนำเรื่องเงิน  อย่างมาก
       พวกเราทุกคนต่างก็อยากรู้ว่า  จะสอนลูกอย่างไรให้ใช้เงินเป็น  และ  รู้จักจัดการเงินของตนเองอย่างมีความรับผิดชอบ
       ทั้งนี้  ก็เพื่อให้ลูก ๆ ของเราสามารถดำเนินชีวิตได้ต่อไปอย่างยั่งยืน
       โดยที่การส่งมอบต่อของเรานั้น  ต้องไม่เป็นการทำร้ายตัวเขา  ให้เหมือนกับว่า  ลูกของเราถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1  โดยไม่ทันตั้งตัว
       จนกลายเป็นการสร้างนิสัยที่ขาดวินัยทางการเงิน
       หนังสือแบ่งเนื้อหาออกเป็น 11 บท  โดยเริ่มตั้งแต่การกล่าวถึงความสำคัญว่าทำไมเราต้องสอนลูกของเราให้ใช้เงินเป็น
       และจบด้วยบทสุดท้าย  เรื่องการส่งผ่านความมั่งคั่งไปยังลูกของเรา  โดยที่ไม่เป็นการทำร้ายพวกเขา  ผ่านการจัดทำแผนมรดกด้วยเครื่องมือทางกฎหมายที่เรารู้จักกันดี คือ  "พินัยกรรม"
       ที่สำคัญ  ในตอนท้ายแต่ละบทยังมี  "แบบฝึกหัด"  ให้เราได้ทดลองทดสอบตนเองว่า  เราทำได้ดีแล้วหรือยัง  พร้อมทั้งมีคำอธิบายให้เราสามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางเพิ่มเติมด้วยครับ
       ประเด็นหนึ่งที่ผมชอบหนังสือเล่มนี้มาก  ก็คือ....
       ผู้เขียนได้นำเสนอ  "กรอบ หรือ เฟรมเวิร์ก"  สำหรับใช้เป็นหลักในการบริหารเงิน
       เราสามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานในการบริหารเงิน  และใช้สอนลูกของเราได้อย่างกระชับและมีทิศทาง
       มุมมองของผม  ถือว่าเป็นกรอบหรือเฟรมเวิร์กที่จดจำง่าย และน่ารักทีเดียวครับ
       กรอบหรือเฟรมเวิร์กที่ว่า  ก็คือ  ออม - ใช้ - ปัน  ตามชื่อบทความนี้แหละครับ
       Adam Khoo และ Keon Chee  มองว่าความท้าทายของเราก็คือ  ...จะทำอย่างไรที่จะทำให้การออม  เป็นเรื่องที่พึงปรารถนาสำหรับลูกของเรา...
       ซึ่งจากกรอบหรือเฟรมเวิร์กข้างต้นนั้น  เราสามารถนำมาแบ่งแนวทางการบริหารเงินได้ออกเป็น 3 ขั้นตอน  ได้แก่  ให้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะออมไปเพื่ออะไร  ให้เริ่มออมก่อนใช้จ่าย  และสุดท้ายการรู้จักใช้เงินออม
       โดยผู้เขียนทั้งสองเห็นว่า  การตั้งเป้าหมายในการออมและลูกของเราได้ทำจนลุล่วงแล้ว  ก็ถือเป็นความสำเร็จของพวกเขา  ดังนั้นเราจึงควรปล่อยให้พวกเขามีความสุขและได้รับรางวัลจากความสำเร็จนั้น
       นั่นคือ  เปิดโอกาสให้พวกเขาได้ใช้เงินบ้างจากเงินที่พวกเขาได้ออมไว้  โดยการอนุญาตให้ซื้อของเล่นหรือในสิ่งที่เขาได้ตั้งเป้าหมายไว้
       ทั้งนี้  ไม่ตัดเรื่องการวางแผนการออมระยะยาว  เมื่อเขาเติบโตขึ้น
       Adam Khoo และ Keon Chee  ยังบอกอีกว่า  "การออมเงิน"  ถือเป็นเพียงแค่ครึ่งเดียวของการสอนเรื่องเงินให้กับลูก
       "การวางแผนการใช้จ่าย"  ให้ถูกวิธี  ถือเป็นเรื่องสำคัญถัดมา  
       เหตุผลก็คือ  เพราะเงินส่วนใหญ่ของเราถูกจัดสรรไว้สำหรับการใช้จ่าย นั่นเอง
       ดังนั้น  การสอนให้ลูกของเราได้รู้ถึงวิธีการใช้จ่ายที่ชาญฉลาด  จึงมีความสำคัญมาก  ซึ่งอาจจะมากกว่าเรื่องการออมเงินอีกด้วย
       เมื่อเราสอน  "การวางแผนการใช้จ่าย" แล้ว  ถัดจากนี้  เราต้องคอยสอดส่งดูแล  และช่วยให้ลูกเราใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดตามแผนที่ได้วางไว้
       และสุดท้ายในเรื่องของ "การให้" หรือ "การปัน"  ผู้เขียนทั้งสองใช้คำทั้งสองนี้ในความหมายเดียวกัน
       โดยเราจะต้องบอกเหตุผลแก่ลูกให้ได้ว่า  ทำไมเราต้องปัน  ทั้งที่เขาอาจจะยังมีเงินไม่พอใช้จ่าย
       ผู้เขียนทั้งสองมองว่า  บทเรียนนี้ต้องใช้ระยะเวลาซึมซับนานนับเป็นปี ๆ  แต่จะเป็นประโยชน์กับเขาชั่วชีวิต
       ในเรื่อง  "การปัน"  นั้น  ทั้งสองท่านให้มุมมองว่า  "การปันเป็นส่วนหนึ่งของความสุขที่แท้จริง"
       โดยอ้างอิงแนวคิดจากนักจิตวิทยา  "มาร์ติน  เซลิกแมน"  ประกอบ  ได้กล่าวถึงมนุษย์ที่มีความต้องการมีชีวิต 3 แบบ  คือ
              ชีวิตที่รื่นรมย์  คือ  การมีความรู้สึกในเชิงบวกกับ  อดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต
              ชีวิตที่ดี  คือ  การมีชีวิตที่เปี่ยมพลังในการค้นพบจุดแข็งและความสามารถของตนเอง  และได้นำออกมาใช้งาน
              และสุดท้าย  ชีวิตที่มีความหมาย  คือ  การนำจุดแข็งและความสามารถของตนเอง  มาใช้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง  เช่น  การสละเวลาให้กับชุมชนที่ตนอยู่อาศัย
       ทั้งนี้  ทั้งสองเน้นย้ำว่า  การให้หรือการปันนี้  จะต้องขึ้นอยู่กับความสบายใจและออกมาจากใจของลูกเราเอง

สุรศักดิ์  อัครอารีสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น