วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ลงทุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

       หลายวันก่อน  หนึ่งในเพื่อนสนิทหลาย ๆ คนได้โทรมาสอบถามผม เพื่อขอคำปรึกษาเรื่องการลงทุน  พร้อมคำถามคลาสสิคที่ผมได้นำเสนอไปในครั้งก่อนว่า “ถ้าเขาหรือเธออยากจะเริ่มต้นลงทุน  เขาจะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี”    

       หลังจากได้ฟังข้อมูลจากเพื่อนคร่าว ๆ แล้ว  ผมก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนดีกว่าเขาเริ่มอยากจะเริ่มต้นเปิดบัญชีเพื่อ ซื้อ-ขาย หุ้น  ตามกระแสที่คนนิยมกันในปัจจุบัน

       พอได้ฟังผมก็ถามคำถามมาตรฐานของผมที่มักจะใช้ถามทุก ๆ คนที่มาปรึกษาเรื่องการลงทุนกลับไปว่า  ทุกวันนี้หน่วยงานที่ทำงานอยู่มีกองทุนสำรองชีพให้ไหม  เพื่อนก็ตอบว่ามี  และเมื่อคุย ๆ กันไปผมก็ได้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้นว่า  กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  ของหน่วยงานเขามีขนาดใหญ่พอสมควร (ขนาดของสมาชิกน่าจะถึงหลัก 5,000 คนขึ้นไปทีเดียว)  และมีเงื่อนไขที่ดีด้วย คือ ข้อกำหนดของกองทุนหน่วยงานมีอัตราเงินสะสมให้กับตัว “ลูกจ้าง” ตั้งแต่เริ่มต้นที่ ซึ่งกฎหมายกำหนดให้สะสมได้ตั้งแต่ 2 - 15% ของเงินเดือน และเงินที่นายจ้างจ่ายเข้ากองทุนให้อีกส่วนหนึ่งเรียกว่า "เงินสมทบ" กฎหมายกำหนดให้สมทบในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าเงินสะสมของลูกจ้าง[1]   

       ซึ่งหมายความว่า  หากเราเลือกอัตราออมสูงสุดที่ข้อบังคับกองทุนได้กำหนดไว้  เช่น หากกำหนดให้ลูกจ้างสามารถสะสมเข้ากองทุนสูงสุดได้ที่ 10%  นายจ้างก็ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนในอัตราไม่ต่ำกว่าที่เราสะสม   ซึ่งนับเป็นอัตราเงินสมทบที่สูงมาก  ให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นเรากำลังมีเงินเดือนขึ้นเดือนละ 10% เลยไงครับ

       แต่หลังจากที่ได้รับทราบข้อมูลจากเพื่อนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียว  เมื่อเพื่อนบอกว่าเขาเลือกในอัตราต่ำสุด คือ 3%  และไม่เคยคิดที่จะอ่านเอกสารที่กองทุนส่งมาให้เท่าไรเพราะเห็นว่ามีแต่ตัวเลข  ยกเว้นตอนปลายปีเพราะจะใช้ลดหย่อนภาษี  รวมถึงไม่เคยเข้าร่วมประชุมกองทุนแต่อย่างใด  

       โดยเพื่อนได้ให้เหตุผลว่า  เขาไม่เคยเข้าใจหรือทราบมาก่อนเลยว่าการที่เขาเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และต้องจ่ายเงินสะสมเข้าทุกเดือนเป็นเรื่องของการลงทุน  เพื่อนมองแต่เพียงว่าคนใกล้ ๆ ตัวต่างก็เป็นสมาชิกกัน  และหน่วยงานก็มีนโยบายรณรงค์ให้พวกเขารู้จักออมเงินระยะยาวกัน  เพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างจากสังคมรอบตัวเขา  จึงได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกองทุนและเลือกในอัตราที่ต่ำที่สุดที่จะไม่กระทบต่อรายได้ประจำของตน  

       โดยที่ตนเองก็มิได้เดือดร้อนหรือมีครอบครัว (กระแสคนโสดในปัจจุบัน)  ที่ต้องใช้จ่ายมากมายแต่อย่างใด  คิดแต่เพียงจะนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทน เช่น ตลาดหุ้น  ซึ่งเพื่อน ๆ ที่อยู่รายรอบต่างก็ทำและคิดอย่างเดียวกันแทบทั้งหมด

       จากเรื่องราวที่ผมได้รับฟังมาข้างต้น  ทำให้เห็นได้ถึง “ช่องว่าง (GAP)  ทางความคิดที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่ใหญ่ทีเดียว  นั่นคือ  คนส่วนใหญ่  (ในกลุ่มที่ทยอยกันมาขอคำปรึกษากับผมเรื่อย ๆ)  มักจะยังมองไม่เห็น  หรือยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญ

       “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ”  คือ  การลงทุนที่ดีมากอย่างหนึ่ง  และเป็นรูปแบบการลงทุนที่ใกล้ตัวของเรากันอย่างยิ่งในปัจจุบัน  ช่องว่างทางความคิดดังกล่าวทำให้คนส่วนใหญ่ที่ผมได้กล่าวถึงข้างต้นมองข้ามการลงทุนในรูปแบบนี้กันไปอย่างมาก  โดยผ่านการจ่ายเงินสะสมเข้าค่อนข้างน้อย (ขั้นต่ำสูด)  

       การไม่สนใจติดตามข่าวสารผ่านการประชุมประจำปี  ไปจนถึงการไม่มีส่วนร่วมในการเลือกตัวแทนลูกจ้างเข้าไปเป็นตัวแทนเพื่อดูแลผลประโยชน์ของตัวเรากันอย่างมากทีเดียว

       ครั้งหน้า จะมาเล่าถึงวิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถนำไปปรับใช้แบบทีละนิดทีละหน่อยกับเงินออมที่เราสะสมโดยการฝากไว้กับธนาคารกันครับ



สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
ผู้แนะนำการลงทุนตราสารซับซ้อนประเภท 1 (IC complex 1)
สำนักงานกำกับหลัทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น