ได้แนะนำ เคล็ดลับ ที่สำคัญอันหนึ่ง สำหรับใช้ในการเลี้ยงลูกให้แก่เรา ๆ ในฐานะพ่อ-แม่
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการ ปลูกฝังทักษะเรื่องเงิน ให้แก่ลูก ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก นั่นคือ การให้เงินค่าขนม แก่เด็ก
ทั้งสองบอกว่า วัยที่เหมาะสมที่สุด ที่เราจะเริ่มให้เงินค่าขนมได้ เขาบอกว่าประมาณ 6 ขวบขึ้นไป (เป็นช่วงเข้าเรียนชั้นประถม)
เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เขาเริ่มต้องใช้เงินภายในโรงเรียน และเริ่มเรียนรู้วิธีการบริหารเงิน ว่าเงินใช้ทำอะไรได้บ้าง ซื้ออะไรได้บ้าง ฯลฯ
โดยไม่ตัดประเด็นที่ว่า หากลูกอายุมากกว่านี้ ก็ยังสามารถที่จะเริ่มต้นสอนเรื่องนี้ได้
ทั้งสองยังบอกอีกว่า พ่อแม่ควรบอกลูกเลยว่า ...
เราคาดหวังว่าจะให้เขานำเงินไปใช้อะไร โดยไม่ให้พร่ำบอกว่า เขาต้องซื้ออะไร
แต่แนะนำให้เราวางกรอบกว้าง ๆ เป็นคำแนะนำแก่เด็ก ให้เด็กได้รับทราบว่าเขาควรนำเงินไปใช้ โดยแบ่งเป็นสามส่วน คือ ออม - ใช้ - ปัน
ทั้งนีั้ เพื่อป้องกันมิให้เขานำเงินไปซื้อของเล่น หรือขนมหวาน เช่น ลูกกวาดที่ไม่มีคุณค่าอะไร
ขณะเดียวกัน พ่อแม่ควรมีการ ทบทวนรายจ่าย กับลูกอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองเห็นว่าควรทบทวนอย่างน้อยปีละสองครั้ง
แนวทางข้างต้น ถือเป็นรูปแบบ การบริหารเงิน อย่างง่ายที่เราทุกคนสามารถนำไปใชสอนเด็ก ๆ ที่เป็นลูกหลานของเราได้อย่างดีมากเลยครับ
ผู้เขียนทั้งสองยังให้มุมมองเพิ่มเติมอีกว่า การให้เงินค่าขนม กับเด็ก ก็เปรียบได้กับการที่เด็กมีรายได้ประจำ ซึ่งเราต้องให้อย่างต่อเนื่องและต้องไม่ขาดตอน
เปรียบได้กับตัวเรา ที่ยังตัองได้รับเงินเดือน ตรงเวลา
การมีรายได้ประจำนั้น ผู้เขียนมองว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ วิธีการบริหารเงิน อย่างถูกต้อง
เพราะเมื่อมีเงินเป็นของตนเอง เขาจะได้เริ่มลองออมเงินเพื่อวันข้างหน้า
และเปิดโอกาสให้พวกเขา สามารถเลือกที่จะนำไปใช้จ่ายกับอะไร รวมถึงเริ่มต้นหัดแบ่งปันให้กับผู้อื่น
การให้เงินค่าขนมแก่เด็ก ๆ นั้น จะช่วยให้โอกาสเขาได้เรียนรู้และลองทำอะไรที่ผิดพลาดได้
โดยเฉพาะในขณะที่ผลเสียที่ตามมายังไม่มากมายนัก
ที่สำคัญ ทำให้เขาได้รู้จักประเมินทางเลือกในการใช้เงิน ในยามที่เขาต้องการอะไรมากกว่าหนึ่งอย่าง
และทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้มาด้วยเงินของตนเอง
ในมุมมองของผม จากแนวทางที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาในข้างต้น ผมอยากเรียกว่าวิชา บริหารเงิน 101 แบบของจริงเลยครับ
การมีกรอบหรือเฟรมเวิร์ก (framework) คือ ออม - ใช้ - ปัน ถือเป็นการกำหนดวัตถุประสงค์การบริหารเงินที่กระชับ ทำให้ง่ายต่อการจดจำและนำไปปฏิบัติ
รวมถึงเราสามารถใช้เป็น กรอบในการวิเคราะห์ การบริหารเงินของตัวเราไปพร้อมกันด้วย
เช่น ... เราออมเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ ?
การใช้จ่ายของเราใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์หรือไม่ ?
ถึงเวลาที่เราควรจะแบ่งปันให้แก่คนอื่นหรือยัง ? ... ฯลฯ
หรือหากมองในภาพรวม ... ทำไมเมื่อเราบริหารเงินด้วยวิธีการนี้แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ ? ... หากบรรลุเป้าหมายแล้วเราจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร...
ซึ่งการที่เราบอกถึงวัตถุประสงค์ในการให้เงินค่าขนมแก่ลูกของเรา ก็เหมือนเป็นการ ทำข้อตกลงเบื้องต้น ให้เด็กได้รับทราบ
เป็นเหมือนสัญญาที่เราในฐานะพ่อแม่ได้ทำกับลูกไปพร้อม ๆ กับการสอน การใช้เงินอย่างถูกวิธี
ที่สำคัญที่สุด เรายังมีการติดตามประเมินผลอย่างเป็นรูปธรรม นั่นก็คือ การทบทวนรายจ่ายกับลูกของเราอย่างน้อยปีละสองครั้ง
เหมือนกับเป็นการทบทวนวัตถุประสงค์เมื่อแรกเริ่มระหว่างเราและลูกอย่างสม่ำเสมอ
ถือเป็นการ ให้ความรู้ทางการเงิน ตั้งแต่พื้นฐานอย่างแท้จริงครับ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น