ก่อนอื่นขอนิยามคำว่า พอร์ตลงทุน ของผมในที่นี้ก่อนครับ พอร์ต ที่ว่าก็คือบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ของตัวเรานั่นเองครับ
เมื่อได้อ่านทบทวนจากหนังสือเล่มดังกล่าวอีกครั้ง (มี 2 เล่ม อ่านสนุกดีนะครับ ขอแนะนำเลย) ก็ทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองในการ บริหารพอร์ต ใหม่หมด ทำให้ได้มุมมองใหม่ ๆ ในการลงทุนของตัวผมเอง
จุดเริ่มต้นของตัว บัฟเฟตต์ ในโลกการเงินเริ่มขึ้น ในช่วงที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยใหม่ ๆ ภายหลังที่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากอาจารย์ที่เขาเคารพเป็นอย่างยิ่ง เบนจามิน เกรแฮม ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเริ่มมีแนวคิดที่จะรวบรวมเงินมาบริหารเพื่อเข้าไปซื้อ-ขาย หุ้น
ด้วยวัยเพียง 26 ปี บัฟเฟตต์ ก็ใช้แนวทางการระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนขึ้นมาบริหารด้วยตัวเขาเอง โดยเริ่มต้นจากเงินทุนในหมู่ญาตพี่น้อง ก่อนที่ชื่อเสียงจะขจรขจาย จนมีคนนำเงินมาให้เขาบริหารกันอย่างมากมาย จนต้องตั้งเป็นกองทุนย่อย ๆ ถึง 11 กองทุน
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง (ช่วงต้นทศวรรษที่ 70) วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ประกาศปิดกองทุน ซึ่งในช่วงของการปิดกองทุนนั้นเป็นช่วงพีคสุด ๆ ของกองทุนที่เขาบริหารพอดี คือ มีกำไรอย่างมหาศาล (ในสมัยนั้น) ขณะเดียวกันตลาดก็เริ่มทรุดตัวลง (ขาลง) ตามภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้นพอดี
หลังจากนั้นเขานำเงินกำไรที่ได้มาบริหารในลักษณะส่วนตัว ผ่านบริษัทที่เขาซื้อไว้ คือ Berkshire Hathaway ซึ่งในกาลต่อมาอีกหลายปีจนถึงปัจจุบัน เขาก็บริหารจนบริษัทกลายเป็น Holding Company ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบัน และตัวเขาเองก็กลายเป็นมหาเศรษฐีลำดับ Top 5 ของโลก
ในมุมมองผม ถือเป็นสุดยอดของผลงานจากการสร้าง นวัตกรรมทางการเงิน ที่เกิดขึ้นโดยการ ต่อยอดจากทรัพยากรเดิม ที่สามารถเล่าขานได้ไม่มีวันสิ้นสุดเลยทีเดียว
และถือเป็นการใช้กลยุทธ์ Select & Focus ที่แสนคลาสสิค โดยมุ่งเน้นไปที่การบริหารบริษัทเดียวให้เติบโตผ่านการซื้อกิจการ (บริษัท) ต่าง ๆ รวมถึงการฟื้นฟูกิจการจนกลับมามีกำไร จนนำไปสู่การปันผลกลับสู่บริษัทแม่ ซึ่งก็คือ Berkshire Hathaway นั่นเอง
รายละเอียดของแต่ละ กลยุทธ์ หรือ วิธีการ ในการเข้าซื้อในแต่ละบริษัท ไปจนถึงวิธีการบริหารบริษัทภายหลังที่ได้ซื้อบริษัทมาว่า บัฟเฟตต์ ทำอย่างไรนั้น อยากแนะนำให้ทุกท่านที่สนใจได้ลองไปหาอ่านกันครับ มีรายละเอียดที่น่าสนใจ สนุก และน่าตื่นเต้นมากมายครับ
หลาย ๆ เคส น่าจะเป็นแนวทางระดับขึ้นหิ้ง ในโรงเรียนสอนธุรกิจกันเลยทีเดียว ดังเช่น ตอนที่เขาเข้าซื้อกิจการเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาเหนือในเนบราสกา หรือการมอบหมายคนเข้าไปฟื้นฟูกิจการบริษัทประกัน GEICO ไปจนถึงการเข้าไปแก้ปัญหาในบริษัทวาณิชธนกิจ Salomon Inc.
ประเด็นส่วนตัวที่ได้เรียนรู้ เป็นเรื่องของการ มองภาพรวม ที่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานกับ การบริหารพอร์ตลงทุน ของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ได้ปรับมุมมองใหม่ (Mindset) ในการลงทุนอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการบริหาร พอร์ต ของตัวเรา เหมือนกับกำลัง บริหารบริษัท ของตนเองครับ
กำหนดให้พอร์ตของเรา เหมือนกับ Holding Company ที่จะเข้าไปซื้อกิจการ (หุ้น) ภายหลังที่เราได้พิจารณาข้อมูลต่าง ๆ อย่างดีแล้ว
ต้องกำหนดวงเงินงบประมาณ ว่าเราจะเข้าไปลงทุนในวงเงินเท่าไร แล้วกำหนด จังหวะ ในการเข้าซื้อ ผ่านแนวทางการทยอยซื้อ เช่น ทีละ 100 หุ้น (กรณีพอร์ตเรามีขนาดเล็ก) ดีไหม
ควรกำหนดจำนวนบริษัท (ประเภทธุรกิจของหุ้นแต่ละตัว) ที่เราจะเข้าซื้ออย่างไร
"...โลกจะก้าวหน้า ด้วยธุรกิจขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติ..."
เป็นคำคมคำหนึ่ง ที่ผมได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ซึ่งเราสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการลงทุนก็ได้ครับ
หรือแม้กระทั่ง แนวทางแบบที่วอร์เรน ทำ เช่น ธุรกิจประกันภัย ที่เขาชื่นชอบมาก เพราะเป็นธุรกิจที่มีเงินสดคงเหลือสูงมาก สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
เราไม่จำเป็นต้องรีบซื้อ-รีบขาย ค่อย ๆ ดูแลให้พอร์ตเติบโต โดยอิงบนพื้นฐานของช่วงเวลาการปันผลและการเติบโตของดัชนีตลาด
มองพอร์ต เป็นภาพรวม ในการเข้าไปซื้อหุ้น โดยอ้างอิงปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบดุล ดัชนีตลาด ช่วงเวลาการปันผล ราคาเฉลี่ย ฯลฯ เพื่อกำหนดจังหวะในการ ซื้อ-ขาย
".....วิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินจากตลาดหุ้น คือ การซื้อหุ้นตามดัชนีโดยตรง...นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนตามการเติบโตของเศรษฐกิจ.." ชาร์ลส์ เอลลิส อดีตที่ปรึกษาทางการเงิน ได้กล่าวไว้
เมื่อพอร์ตติดลบตามดัชนี จะใช้กลยุทธ์ Select & Focus ว่าบริษัท (หุ้น) ไหน ที่เราจะเพิ่มทุน (เฉลี่ยราคา) ไม่จำเป็นต้องทำทุกตัวดีไหม
เพราะเป็นหุ้นที่เราคัดสรรมาดีแล้ว และขนาดหรือราคาเมื่อเทียบกับเงินทุนที่เรามีในแต่ละช่วงเวลา อาจจะไม่เพียงพอในการทำกับหุ้นบางตัวก็เป็นไปได้
เมื่อพอร์ตมีกำไร (บวก) ตามดัชนี เราจะใช้กลยุทธ์ Select & Focus โดยดูบริษัท (หุ้น) ตัวไหน ที่เราคิดว่ากำไรเกินหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดไว้บ้าง
แล้วเราควรจะขายออกไปดีไหม เพื่อดึงเงินสดกลับมาและทำให้พอร์ตเราใหญ่ขึ้น
หรือเราจะไม่ขายเลย และบริหารให้บริษัทเติบโตดังเช่นที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทำ
สุรศักดิ์ อัครอารีสุข